Archive for ตุลาคม, 2006

เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง

ตุลาคม 26, 2006

Recieved: Wednesday, October 25, 2006 8:43 PM
Subject:  Fwd: เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง

เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง—เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
> > เพื่อนคนหนึ่งหกล้มในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ

> > แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่
> > ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น
> > อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง
> > เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ
> >
> > หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล
> > แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น
> > ถ้าหากเพื่อนๆรูจักวินิจฉัยอาการโรค
> > ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก
> > อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็น
> > อัมพฤตหรืออัมพาด
> > แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.
> > ก็จะมีโอกาสรอด
> >
> > วิธีวินิจฉัยอาการ
> > ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง
> > แพทย์แนะว่า  คนข้าง
> > เคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ
> > ก็สามารถวินิจฉัยอาการได้
> > โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
> > S:(smile)ให้ผู้ป่วยยิ้ม
> > T:(talk)ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
> > R:(raise)ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
> > อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก
> > ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่อ
> > อาการอันตราย
> > ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบแจ้ง 119
> > และเล่าอาการให้ผู้รับสายฟัง
> > โปรดส่งข้อความนี้ให้เพื่อนๆ อย่างน้อย 10 คน เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น

ผู้หญิงกับกุญแจรถ

ตุลาคม 15, 2006

 Recieved :  Wednesday, October 11, 2006 5:15 PM
Subject: ผู้หญิงกับกุญแจรถ

ผู้หญิงกับกุญแจรถฝากมาอีกเรื่องเพื่อป้องกันตัวนะ
>> >
>> >      เป็นเรื่องที่ควรอ่านอย่างยิ่งนะ
>> >
>> >      ผู้หญิงควรอ่านเรื่องนี้เมื่อคุณนำรถเข้าสู่อู่
>>อย่าลืมที่จะทำใน
>> >
>> >      สิ่งต่อไปนี้ มอบเฉพาะกุญแจรถ
>> >
>> >      ( นำกุญแจบ้าน, กุญแจล็อคเกียร์หรือกุญแจอื่นๆออกเสีย ก่อน)
>> >
>> >
>> >
>> >เอาสติกเกอร์ที่จะแสดงที่อยู่ของคุณออกเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่รู้ว่าคุณ
อาศัยที่ไหนเป็น

    >> >
>> >
>>
>
>> >การเตือนถึงผู้หญิงทุกคนเกี่ยวกับอันตรายจากการมอบกุญแจบ้านที่มีกุญแจรถ

ติดอยู่ใน

    >> >
>> >      พวงกุญแจให้กับใครๆ
>> >
>> >      
>>เพื่อนของลูกสาวนำรถเข้ารับบริการในบริษัทยางแห่งหนึ่งที่รู้จักกันดี
>> >
>> >      เพื่อที่จะซ่อมยางที่แบน ขณะที่ เธอกำลังรอ
>> >
>> >      เธอไม่ทันคิดเธอยื่นกุญแจทั้งหมดให้กับบริกร และรอ
>> >
>> >
>> >      เธอไม่รู้อะไรว่าที่ซ่อมรถเกือบจะทุกแห่ง
>> >
>> >      ล้วนมีเครื่องปั๊มกุญแจหนึ่งในบริกรได้ปั๊มกุญแจ
>> >
>> >
>>
>อพาร์ทเมนท์ของเธอและสองวันผ่านไปมันได้เข้าไปในอพาร์ทเมนท์ของเธอกลางดึก

และ

    >> >
>> >      ข่มขืนเธอ
>>เธอใช้บริการซ่อมรถอยู่บ่อยครั้งและพวกมันมีข้อมูลต่างๆ
>> >
>> >      ของเธออยู่ใน
>> >
>> >      คอมพิวเตอร์ เช่น เธอพัก ที่ไหนเบอร์โทรศัพท์ของเธอเบอร์อะไร
>> >
>> >      ไอ้เลวนั่นโดนจับ
>> >
>> >      
>>เมื่อเดือนก่อนและตำรวจพบว่ามันเคยทำเหตุการณ์ระยำอย่างนี้มาแล้วแต่
>> >
>> >      ตอนนี้
>>อยู่ในคุกแล้วและลูกสาวเพื่อนฉันกำลังพยายามดำรงชีวิตต่อไป
>> >
>>
>      โปรดเตือนทุกคน
>> >
>> >      ให้แยกกุญแจอื่นๆ ออกจากกุญแจรถบางทีอาจช่วยผู้หญิงคนอื่นๆ
>> >
>> >      จากเรื่องน่าหดหู่ โปรด
>> >
>> >      ให้ข้อมูลนี้กับเพื่อนๆ และครอบครัว

หยุดเรื่อง MSN กันเสียที

ตุลาคม 15, 2006

Recieved: Friday, October 13, 2006 12:00 AM
Subject: FW: หยุดเรื่อง MSN กันเสียทีดีไหมครับ?
>>>>
>>>> >
>>>> > เรียนชาวเน็ตที่เคารพทุกท่าน
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเป็นคนหนึ่งที่เล่นเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538 ตลอดเวลา 11 
>>>> > ปีที่ผ่านมาได้รับฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่มีลักษณะว่า 
>>>> >
>>>>บริการฟรีหลายอย่างที่เรากำลังใช้กันอยู่กำลังจะเรียกเก็บค่าบริการหากท่าน 
>>>> > “ไม่ฟอร์ดเวิร์ด” เมลล์ต่อไปให้เพื่อนๆ ของท่าน อย่างน้อย 18 คน 
>>>> > (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่คนจะคิดกันได้) 
>>>> > ทำให้เกิดอีเมลล์ขยะที่น่ารังเกียจจากเพื่อนๆ ของท่านมากมาย 
>>>> > การที่พวกเราได้รับเมลล์ลักษณะนี้ แน่นอน 
>>>> > ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเป็นห่วงเป็นใยแก่เพื่อน เลยต้องการจะแจ้งข่าว 
>>>> > และก็เช่นกันบางส่วนอาจส่งเพราะต้องการให้พ้นตัว จะได้ไม่ต้องเสียเงิน 
>>>> >
>>>>ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะส่งอีเมลล์ฉบับนี้ดีหรือไม่ เนื่องจาก 
>>>> >
>>>>หากผมส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์แล้ว มันก็เท่ากับผมกลายเป็นคนเผยแพร่อีเมลล์ขยะ 
>>>> >
>>>>อีกรายหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ความอดทนของผมก็เริ่มมีขีดจำกัด โดยเฉพาะพักหลัง 
>>>> > ผมได้รับเมลล์มากจนบ๊อกซ์ของผมเต็มแล้วเต็มเล่า 
>>>> > และน่าเจ็บใจหลายครั้งที่เมลล์เหล่านั้นมาจากเพื่อนรักของผมทั้งหลาย
>>>> >
>>>> > เมลล์ที่ผมได้รับในช่วงนี้เป็นเมลล์ที่มีการอ้างอิง จากข่าวของบีบีซี 
>>>> > ซึ่งหน่วยงานดูน่าเชื่อถือใช่ไหมครับ แต่ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าว 
>>>> > เป็นข่าวตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นเวลา 5 
>>>> > ปีมาแล้วที่เขาบอกว่าจะมีการเก็บเงินภายในหนึ่งปี 
>>>> > แล้วท่านทั้งหลายโดนเรียกเก็บเงินแล้วหรือยังครับ ห้าปีแล้วนะ  
>>>> >
>>>>ผมตั้งข้อสงสัยอยู่ว่าถ้าจะเก็บเงินกันจริงๆ แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเป็นใคร 
>>>> > แล้วจะเก็บเงินเราได้ที่ไหน? ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้ใน MSN messenger  
>>>> > สามารถระบุมาถึงตัวท่านได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>อีกประการหนึ่งก็คือ การส่งต่ออย่างน้อย 18 คนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ 
>>>> > มีคนอ้างว่าถ้าส่งแล้วสัญลักษณ์รูปตัวคนของ MSN messenger  
>>>> >
>>>>จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน แต่ท่านที่ได้เป็นเหยื่อส่งต่อกันมาแล้วนั้น 
>>>> >
>>>>มันเปลี่ยนสีจริงๆ หรือครับ? นอกจากนี้ ถ้าแล้วส่งกันไปแล้ว คุณคิดว่าไมโครซอฟ 
>>>> > เขาจะรู้ไหมว่าคุณส่งแล้ว เขาจะมานั่งตรวจอีเมลล์คุณหรือป่าว 
>>>> > ถ้าจะบอกมันเป็นระบบอัตโนมัติสามารถเช็คได้จาก ฮ๊อทเมล์ 
>>>> > แล้วคุณคิดว่าระบบอัตโนมัติมันจะอ่านภาษาไทยนี้ได้หรือไม่ 
>>>> >
>>>>คุณคิดว่าอีเมลล์ที่คุณส่งแบบ 18 คนนั้นระบบจะแยกแยกออกจากจดหมายอื่นๆ 
>>>> > ของคุณได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเข้าไปอ่านเว็บไซท์ข่าวของบีบีซีที่มีการอ้างอิง(นานมากแล้ว) ก็สรุปคร่าวๆ 
>>>> > ได้ว่า การหารายได้จากค่าโฆษณามันไม่พอ 
>>>> >
>>>>เลยต้องเก็บเงินเพิ่มจากการให้บริการที่ดีกว่าหมายถึงถ้าคุณไม่พอใจในบริการพื้นฐานก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้บริการที่ดีขึ้น 
>>>> >
>>>>คล้ายกับ  ยาฮูเมลล์ ที่ต้องการพื้นพี่เพิ่มหรือบริการเพิ่มก็จ่ายเงินให้เขา 
>>>> >
>>>>(เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีดังนี้ Fees will be demanded for extra 
>>>> >
>>>>services that are now under development, such as an advanced filter system 
>>>> > to protect email accounts from junk mail. )
>>>> >
>>>> >
>>>>เราคงต้องมาทบทวนกันนิดนึงนะ ว่า MSN ที่คุณรู้จักคืออะไร คำว่า MSN 
>>>> >
>>>>ไม่ได้หมายความเฉพาะแค่ MSN messenger เท่านั้น หมายถึงระบบนี้ทั้งระบบเลย 
>>>> > ซึ่งหมายรวมถึง  MSN Hotmail ด้วย เพราะจริงๆแล้ว MSN 
>>>> > ในความหมายปัจจุบันนั้นเป็นชื่อของ เว็บไซต์ 
>>>> > ซึ่งมีบริการมากมายภายใต้เครื่องหมายนี้ (http://www.msn.com) ดังนั้น 
>>>> > การจั่วหัวข่าวว่า MSN ก็หมายถึง การบริการโดยรวม 
>>>> > ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรต้องอ่านให้แน่ใจ ย้ำอีกครั้ง MSN 
>>>> > ไม่ได้หมายความเฉพาะเพียงแค่ MSN messenger เท่านั้น
>>>> >
>>>> > ชาวเน็ตท่านใดที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษก็ช่วยเข้าไปอ่าน 
>>>> > (http://news.bbc.co.uk/1/hi/business/1189119.stm) ให้หน่อยเถิดครับ 
>>>> >
>>>>เพราะภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไร แค่อ่านจับใจความได้เท่านั้น 
>>>> > ท่านที่อ่านได้แล้วช่วยมาแปลให้คนอื่นๆ อ่านกันได้ก็จะดีมากครับ 
>>>> >
>>>>แม้ว่าจะเป็นข่าวที่เก่าแสนเก่าแล้วก็ตามจะได้เอาข่าวนี้ไปแอบอ้างอีกไม่ได้
>>>> >
>>>> > ผมเบื่อเมลล์ลักษณะนี้เต็มทีแล้วครับ 
>>>> > จดหมายลูกโซ่แบบนี้แบบสมัยก่อนก็จะมีข้อความประมาณว่า 
>>>> > ฮอทเมลล์จะเก็บค่าบริการแล้วนะ ให้คนส่งต่อจะช่วยได้ 
>>>> >
>>>>จนเขาประกาศออกมาเลยว่าไม่เก็บหรอกสบายใจได้ ก็จึงมาเล่นลักษณะเดียวกันกับ 
>>>> > ไอซีคิว (คนที่เล่นเน็ตมานานคงทราบดี) ซึ่งได้สร้างอีเมล์ขยะจำนวนมาก 
>>>> > ผมโดนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2538 แล้ว 11 ปีแห่งการเล่นเน็ตโดนมาโดยตลอด 
>>>> > เพียงแต่เปลี่ยนจากฮ๊อมเมล์ เป็น ไอซีคิว 
>>>> > จนมาเป็นเอ็ม(ที่ทุกท่านคงได้รับกันอยู่ในขณะนี้ 
>>>> >
>>>>ซึ่งผมได้รับเมลล์ฉบับที่มีข้อความเดียวกันนี้หรือใกล้เคียงกันนี้ 
>>>> > ติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่ตำกว่า 5 ปีเห็นจะได้ 
>>>> > ผมไม่เคยส่งต่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ยังสามารถเล่นได้จนบัดนี้
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้อย่างบอกอะไรบางอย่างแก่ผู้ที่หลับหูหลับตาส่งอีเมลล์ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าบางส่วนจะเกิดจากความหวังดีก็ตามเถิด 
>>>> > ว่า
>>>> >
>>>> > “เหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงใช้วิจารญาณให้ดีก่อนคิดจะทำอะไร 
>>>> > ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่”
>>>> >
>>>> >
>>>> > ด้วยความเคารพทุกคน และหวังว่าสังคมไทยจะเจริญขึ้น
>>>> >
>>>> > สวัสดี
>>>> >
>>>> > ธีรวัฒน์
>>>> >
>>>> > ปล.  เพิ่มเติม
>>>> > เมื่ออ่านข้อความข้างบนแล้ว หลายท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า 
>>>> > “ใครปล่อยข่าวเรื่องเก็บเงิน และทำเพื่ออะไร”
>>>> >
>>>> >
>>>>คำตอบในใจผมคือว่า  เขาต้องการ E-mail ครับ (ในการ FWD จะมี E-mail โชว์อยู่) 
>>>> >
>>>>แล้วนำ E-mail เหล่านั้นไปขายต่อให้ พวกบริษัททำขายตรง (หลายคนอาจจะเคยเห็น 
>>>> >
>>>>mail ที่บอกว่า “ขาย E-mail 300,000 รายชื่อ ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของท่าน”  
>>>> > จนเป็นที่มาของ E-mail ขยะประเภทขายสินค้าหรืออื่นๆ
>>>> >
>>>> > ดังนั้น ผมขอร้องให้ทุกท่านหยุดการ FWD พวกนี้ 
>>>> > เพราะทุกท่านอาจจะตกเป็นเครื่องมือของพวกขาย E-mail ไปโดยไม่รู้ตัว 
>>>> >
>>>>และอาจจะส่งผลกระทบถึง E-mail โฆษณาขยะที่จะเข้ามายัง Inbox ของท่านและเพื่อนๆ 
>>>> > ใน List ของท่านด้วย
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้ขอแนะนำว่า ถ้าท่านอยากส่งอีเมลล์นี้ไปให้เพื่อนท่าน ให้ใส่ชื่อ 
>>>> >
>>>>เมลล์ในช่อง BCC เพื่อจะได้ไม่ต้องให้อีเมลล์ของเพื่อนท่านปรากฎ
>>>> >
>>>> > วรพล  (Next เพื่อนธีรวัมน์)
>>>> >

Please join our relief work in Angthong

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Thursday, October 12, 2006 5:45 AM
Subject :  Please join our relief work in Angthong
 
 

กรีนพีซขอเรียนเชิญท่านสมาชิก
ร่วมเดินทางไปกับอาสาสมัครของเรา
เพื่อช่วยเหลือภัยน้ำท่วมจังหวัดอ่างทอง
ในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2549
รถออกฝั่งตรงข้าม 7-11 ซอยพหลโยธิน 2 เวลา 07.00 น.
ท่านที่สนใจร่วมเดินทางไปกับอาสาสมัครของเรา
ติดต่อได้ที่ 0-2271-4832

ภารกิจที่ต้องทำเป็นการบรรจุทราย อาหาร น้ำดื่ม
และขนย้ายไปยังผู้ประสบภัย
การลงพื้นที่ครั้งนี้ อาจเปลี่ยนแปลงได้
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยกรีนพีซประสานกับเทศบาลท้องถิ่น

มูลนิธิฯจัดเตรียม อาหาร และน้ำดื่ม
ให้กับท่านที่ร่วมเดินทางไปกับเรา
และต้องขอรบกวนท่านที่เดินทางไปกับเรา
แต่งตัวรัดกุม เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยน
ทำร่างกายให้พร้อมทำงานหนัก

ทางมูลนิธิฯ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ที่ส่งข่าวสารมายังท่านอย่างกระชั้นชิด
เนื่องจากต้องประสานงานกับเทศบาลท้องถิ่นถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือ

ขอแสดงความนับถือ

ฝ่ายบริการสมาชิก
มูลนิธิกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Dear Supporters,

Greenpeace would like to invite you to join our relief work in conjunction with the National
Disaster Relieve Center.  We will gather opposite 7-11 store on Paholyothin Soi  2 at 07:00 hrs
on this Saturday, 14th October 2006 and leave for Angthong, one of the provinces most effected
by the flood.  The province is now in need of labour to help them with varous relef efforts.

Greenpeace will provide food, drink and transportation for you.  Please dress
appropriately:boots and extra clothing for changing are recommended.

Please contact us at 0-2271-4832 to join our relief work.

Sincerely yours,

Supporter Services Department
Greenpeace Southeast Asia

การขับรถลุยน้ำท่วม

ตุลาคม 15, 2006

หยุดเรื่อง MSN กันเสียที

ตุลาคม 15, 2006

Recieved: Friday, October 13, 2006 12:00 AM
Subject: FW: หยุดเรื่อง MSN กันเสียทีดีไหมครับ?
>>>>
>>>> >
>>>> > เรียนชาวเน็ตที่เคารพทุกท่าน
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเป็นคนหนึ่งที่เล่นเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538 ตลอดเวลา 11 
>>>> > ปีที่ผ่านมาได้รับฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่มีลักษณะว่า 
>>>> >
>>>>บริการฟรีหลายอย่างที่เรากำลังใช้กันอยู่กำลังจะเรียกเก็บค่าบริการหากท่าน 
>>>> > “ไม่ฟอร์ดเวิร์ด” เมลล์ต่อไปให้เพื่อนๆ ของท่าน อย่างน้อย 18 คน 
>>>> > (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่คนจะคิดกันได้) 
>>>> > ทำให้เกิดอีเมลล์ขยะที่น่ารังเกียจจากเพื่อนๆ ของท่านมากมาย 
>>>> > การที่พวกเราได้รับเมลล์ลักษณะนี้ แน่นอน 
>>>> > ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเป็นห่วงเป็นใยแก่เพื่อน เลยต้องการจะแจ้งข่าว 
>>>> > และก็เช่นกันบางส่วนอาจส่งเพราะต้องการให้พ้นตัว จะได้ไม่ต้องเสียเงิน 
>>>> >
>>>>ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะส่งอีเมลล์ฉบับนี้ดีหรือไม่ เนื่องจาก 
>>>> >
>>>>หากผมส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์แล้ว มันก็เท่ากับผมกลายเป็นคนเผยแพร่อีเมลล์ขยะ 
>>>> >
>>>>อีกรายหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ความอดทนของผมก็เริ่มมีขีดจำกัด โดยเฉพาะพักหลัง 
>>>> > ผมได้รับเมลล์มากจนบ๊อกซ์ของผมเต็มแล้วเต็มเล่า 
>>>> > และน่าเจ็บใจหลายครั้งที่เมลล์เหล่านั้นมาจากเพื่อนรักของผมทั้งหลาย
>>>> >
>>>> > เมลล์ที่ผมได้รับในช่วงนี้เป็นเมลล์ที่มีการอ้างอิง จากข่าวของบีบีซี 
>>>> > ซึ่งหน่วยงานดูน่าเชื่อถือใช่ไหมครับ แต่ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าว 
>>>> > เป็นข่าวตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นเวลา 5 
>>>> > ปีมาแล้วที่เขาบอกว่าจะมีการเก็บเงินภายในหนึ่งปี 
>>>> > แล้วท่านทั้งหลายโดนเรียกเก็บเงินแล้วหรือยังครับ ห้าปีแล้วนะ  
>>>> >
>>>>ผมตั้งข้อสงสัยอยู่ว่าถ้าจะเก็บเงินกันจริงๆ แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเป็นใคร 
>>>> > แล้วจะเก็บเงินเราได้ที่ไหน? ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้ใน MSN messenger  
>>>> > สามารถระบุมาถึงตัวท่านได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>อีกประการหนึ่งก็คือ การส่งต่ออย่างน้อย 18 คนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ 
>>>> > มีคนอ้างว่าถ้าส่งแล้วสัญลักษณ์รูปตัวคนของ MSN messenger  
>>>> >
>>>>จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน แต่ท่านที่ได้เป็นเหยื่อส่งต่อกันมาแล้วนั้น 
>>>> >
>>>>มันเปลี่ยนสีจริงๆ หรือครับ? นอกจากนี้ ถ้าแล้วส่งกันไปแล้ว คุณคิดว่าไมโครซอฟ 
>>>> > เขาจะรู้ไหมว่าคุณส่งแล้ว เขาจะมานั่งตรวจอีเมลล์คุณหรือป่าว 
>>>> > ถ้าจะบอกมันเป็นระบบอัตโนมัติสามารถเช็คได้จาก ฮ๊อทเมล์ 
>>>> > แล้วคุณคิดว่าระบบอัตโนมัติมันจะอ่านภาษาไทยนี้ได้หรือไม่ 
>>>> >
>>>>คุณคิดว่าอีเมลล์ที่คุณส่งแบบ 18 คนนั้นระบบจะแยกแยกออกจากจดหมายอื่นๆ 
>>>> > ของคุณได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเข้าไปอ่านเว็บไซท์ข่าวของบีบีซีที่มีการอ้างอิง(นานมากแล้ว) ก็สรุปคร่าวๆ 
>>>> > ได้ว่า การหารายได้จากค่าโฆษณามันไม่พอ 
>>>> >
>>>>เลยต้องเก็บเงินเพิ่มจากการให้บริการที่ดีกว่าหมายถึงถ้าคุณไม่พอใจในบริการพื้นฐานก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้บริการที่ดีขึ้น 
>>>> >
>>>>คล้ายกับ  ยาฮูเมลล์ ที่ต้องการพื้นพี่เพิ่มหรือบริการเพิ่มก็จ่ายเงินให้เขา 
>>>> >
>>>>(เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีดังนี้ Fees will be demanded for extra 
>>>> >
>>>>services that are now under development, such as an advanced filter system 
>>>> > to protect email accounts from junk mail. )
>>>> >
>>>> >
>>>>เราคงต้องมาทบทวนกันนิดนึงนะ ว่า MSN ที่คุณรู้จักคืออะไร คำว่า MSN 
>>>> >
>>>>ไม่ได้หมายความเฉพาะแค่ MSN messenger เท่านั้น หมายถึงระบบนี้ทั้งระบบเลย 
>>>> > ซึ่งหมายรวมถึง  MSN Hotmail ด้วย เพราะจริงๆแล้ว MSN 
>>>> > ในความหมายปัจจุบันนั้นเป็นชื่อของ เว็บไซต์ 
>>>> > ซึ่งมีบริการมากมายภายใต้เครื่องหมายนี้ (http://www.msn.com) ดังนั้น 
>>>> > การจั่วหัวข่าวว่า MSN ก็หมายถึง การบริการโดยรวม 
>>>> > ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรต้องอ่านให้แน่ใจ ย้ำอีกครั้ง MSN 
>>>> > ไม่ได้หมายความเฉพาะเพียงแค่ MSN messenger เท่านั้น
>>>> >
>>>> > ชาวเน็ตท่านใดที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษก็ช่วยเข้าไปอ่าน 
>>>> > (http://news.bbc.co.uk/1/hi/business/1189119.stm) ให้หน่อยเถิดครับ 
>>>> >
>>>>เพราะภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไร แค่อ่านจับใจความได้เท่านั้น 
>>>> > ท่านที่อ่านได้แล้วช่วยมาแปลให้คนอื่นๆ อ่านกันได้ก็จะดีมากครับ 
>>>> >
>>>>แม้ว่าจะเป็นข่าวที่เก่าแสนเก่าแล้วก็ตามจะได้เอาข่าวนี้ไปแอบอ้างอีกไม่ได้
>>>> >
>>>> > ผมเบื่อเมลล์ลักษณะนี้เต็มทีแล้วครับ 
>>>> > จดหมายลูกโซ่แบบนี้แบบสมัยก่อนก็จะมีข้อความประมาณว่า 
>>>> > ฮอทเมลล์จะเก็บค่าบริการแล้วนะ ให้คนส่งต่อจะช่วยได้ 
>>>> >
>>>>จนเขาประกาศออกมาเลยว่าไม่เก็บหรอกสบายใจได้ ก็จึงมาเล่นลักษณะเดียวกันกับ 
>>>> > ไอซีคิว (คนที่เล่นเน็ตมานานคงทราบดี) ซึ่งได้สร้างอีเมล์ขยะจำนวนมาก 
>>>> > ผมโดนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2538 แล้ว 11 ปีแห่งการเล่นเน็ตโดนมาโดยตลอด 
>>>> > เพียงแต่เปลี่ยนจากฮ๊อมเมล์ เป็น ไอซีคิว 
>>>> > จนมาเป็นเอ็ม(ที่ทุกท่านคงได้รับกันอยู่ในขณะนี้ 
>>>> >
>>>>ซึ่งผมได้รับเมลล์ฉบับที่มีข้อความเดียวกันนี้หรือใกล้เคียงกันนี้ 
>>>> > ติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่ตำกว่า 5 ปีเห็นจะได้ 
>>>> > ผมไม่เคยส่งต่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ยังสามารถเล่นได้จนบัดนี้
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้อย่างบอกอะไรบางอย่างแก่ผู้ที่หลับหูหลับตาส่งอีเมลล์ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าบางส่วนจะเกิดจากความหวังดีก็ตามเถิด 
>>>> > ว่า
>>>> >
>>>> > “เหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงใช้วิจารญาณให้ดีก่อนคิดจะทำอะไร 
>>>> > ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่”
>>>> >
>>>> >
>>>> > ด้วยความเคารพทุกคน และหวังว่าสังคมไทยจะเจริญขึ้น
>>>> >
>>>> > สวัสดี
>>>> >
>>>> > ธีรวัฒน์
>>>> >
>>>> > ปล.  เพิ่มเติม
>>>> > เมื่ออ่านข้อความข้างบนแล้ว หลายท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า 
>>>> > “ใครปล่อยข่าวเรื่องเก็บเงิน และทำเพื่ออะไร”
>>>> >
>>>> >
>>>>คำตอบในใจผมคือว่า  เขาต้องการ E-mail ครับ (ในการ FWD จะมี E-mail โชว์อยู่) 
>>>> >
>>>>แล้วนำ E-mail เหล่านั้นไปขายต่อให้ พวกบริษัททำขายตรง (หลายคนอาจจะเคยเห็น 
>>>> >
>>>>mail ที่บอกว่า “ขาย E-mail 300,000 รายชื่อ ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของท่าน”  
>>>> > จนเป็นที่มาของ E-mail ขยะประเภทขายสินค้าหรืออื่นๆ
>>>> >
>>>> > ดังนั้น ผมขอร้องให้ทุกท่านหยุดการ FWD พวกนี้ 
>>>> > เพราะทุกท่านอาจจะตกเป็นเครื่องมือของพวกขาย E-mail ไปโดยไม่รู้ตัว 
>>>> >
>>>>และอาจจะส่งผลกระทบถึง E-mail โฆษณาขยะที่จะเข้ามายัง Inbox ของท่านและเพื่อนๆ 
>>>> > ใน List ของท่านด้วย
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้ขอแนะนำว่า ถ้าท่านอยากส่งอีเมลล์นี้ไปให้เพื่อนท่าน ให้ใส่ชื่อ 
>>>> >
>>>>เมลล์ในช่อง BCC เพื่อจะได้ไม่ต้องให้อีเมลล์ของเพื่อนท่านปรากฎ
>>>> >
>>>> > วรพล  (Next เพื่อนธีรวัมน์)
>>>> >

พี่สาว-น้องชาย

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 2:37 AM
Subject :  เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว ไม่ลังเลที่จะส่งต่อ (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ)  

 ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน
>
>
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> “
ใครขโมยเงินไป” พ่อตวาด
>
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
> “
ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”
>
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมขโมยเองครับ”
>
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
>
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> “
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย”
>
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> ”
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว”
>
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี…
>
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
>
เรียนดีมากนะ”
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> “
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
>
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน”
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> “
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> “
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
>
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> “
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ … วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> “
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที
>

>
ไซท์ก่อสร้าง …
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ”
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
> …
>
ฉันถามเขาว่า
> “
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ”
>
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า “ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> “
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> “
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม”
>
ฉันถาม
>
> “
ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ…”
>
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
> …
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
>
>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว
>
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
> …
>
เขาบอกกับฉันว่า
> “
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”
>
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
> …
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> …
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> “
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> “
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> “
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”
>
> “
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ”
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี…
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> “
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> “
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ … นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ”
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก … “ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
>
น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 1:04 AM
Subject :  FW: ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

 

ชมเรือ MV  DOULOS  ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  
ระหว่าง  วันที่  29  กันยายน –  23 ตุลาคม 2549
ท่าเทียบเรือคลองเตย โกดังหมายเลข 1 กรุงเทพฯ
         
          เรือโดยสารเดินสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดโลก    
สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1914 หลังเรือไททานิคเพียงสองปี  ตลอด  28 ปีที่ผ่านมา  เรือดูลอสได้แวะจอดตามท่าในประเทศต่างๆ กว่า  100  ประเทศ  และได้ต้อนรับเข้าชมบนเรือกว่า 18 ล้านคน

          ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่า  6,000  ชื่อเรื่อง  ครอบคลุมในหัวข้อต่างๆ  เช่น กีฬาและงานอดิเรก  การศึกษาและการทำอาหาร   พจนานุกรม  หนังสือเกี่ยวกับเด็กและอื่นๆ อีกมากมาย  รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่คัดสรรมาจำหน่ายจำนวนหนึ่ง

         เวลาเปิดทำการ และการเข้าชม
ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีควรมีผู้ปกครองไปด้วย และกรุณาพกบัตรประจำตัวประชาชน

วันอังคาร – วันเสาร์           :  10.00 – 21.00 น.
วันอาทิตย์ และ วันจันทร์   :  14.00 – 21.00 น.

         ลูกเรือนานาชาติ  
มีอาสาสมัครคริสเตียน  320 คนซึ่งเป็นตัวแทนจากกว่า 45 เชื้อชาติ  เชิญขึ้นมาเยี่ยมชมเรือและผูกมิตรกับลูกเรือนานาชาตินี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในการฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ  มาเยี่ยมชมและร่วมรับความสนุกสนานจากการแสดงหลากหลายที่จัดโดยลูกเรือ  เพื่อแนะนำเรือดูลอส

         เทศกาลเฉลิมฉลองของเรือดูลอส
รวมอยู่ในค่าเข้าชมเรือดูลอส

1.       วันเสาร์ ที่ 30 กันยายน         เวลา 14.00-17.00 น.
2.       วันอาทิตย์ 8 และ 22 ตุลาคม  เวลา 14.00  -17.00 น.
3.       วันจันทร์  23 ตุลาคม              เวลา 10.00  -17.00 น.

         ห้องการแสดงนานาชาติ
ติดต่อขอรับบัตรเข้าชมฟรี  ได้ที่งานแสดงหนังสือบนเรือดูลอส

1.       วันอาทิตย์ ที่1 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น. ( พร้อมรับฟังเพลงไพเราะจากคณะนักร้องประสานเสียงของดูลอส)
2.       วัน เสาร์ ที่ 14 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น.

        ราตรีหรรษาเยาวชนนานาชาติ
ร่วมรับประสบการณ์นานาชาติจากการแสดงดนตรี  มัลติมีเดีย  ละคร  การเริงระบำ  และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย เชิญชมการแสดงพิเศษของคณะลูกเรือนานาชาติดูลอส
เข้าชมฟรี
1.       วันเสาร์ ที่ 21 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.00 น.
2.       สถานที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  35 ถนนประมวล สีลม ( ใกล้สถานีรถไฟสุรศักดิ์ )

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.doulos.org   E-mail : doulos.bangkok@gbaships.org
 หมายเหตุ : มีรถประจำทางให้บริการถึงท่าเรือคลองเตย สาย : 4, 47 ,72,102,162

ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 1:04 AM
Subject :  FW: ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

 

ชมเรือ MV  DOULOS  ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  
ระหว่าง  วันที่  29  กันยายน –  23 ตุลาคม 2549
ท่าเทียบเรือคลองเตย โกดังหมายเลข 1 กรุงเทพฯ
         
          เรือโดยสารเดินสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดโลก    
สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1914 หลังเรือไททานิคเพียงสองปี  ตลอด  28 ปีที่ผ่านมา  เรือดูลอสได้แวะจอดตามท่าในประเทศต่างๆ กว่า  100  ประเทศ  และได้ต้อนรับเข้าชมบนเรือกว่า 18 ล้านคน

          ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่า  6,000  ชื่อเรื่อง  ครอบคลุมในหัวข้อต่างๆ  เช่น กีฬาและงานอดิเรก  การศึกษาและการทำอาหาร   พจนานุกรม  หนังสือเกี่ยวกับเด็กและอื่นๆ อีกมากมาย  รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่คัดสรรมาจำหน่ายจำนวนหนึ่ง

         เวลาเปิดทำการ และการเข้าชม
ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีควรมีผู้ปกครองไปด้วย และกรุณาพกบัตรประจำตัวประชาชน

วันอังคาร – วันเสาร์           :  10.00 – 21.00 น.
วันอาทิตย์ และ วันจันทร์   :  14.00 – 21.00 น.

         ลูกเรือนานาชาติ  
มีอาสาสมัครคริสเตียน  320 คนซึ่งเป็นตัวแทนจากกว่า 45 เชื้อชาติ  เชิญขึ้นมาเยี่ยมชมเรือและผูกมิตรกับลูกเรือนานาชาตินี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในการฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ  มาเยี่ยมชมและร่วมรับความสนุกสนานจากการแสดงหลากหลายที่จัดโดยลูกเรือ  เพื่อแนะนำเรือดูลอส

         เทศกาลเฉลิมฉลองของเรือดูลอส
รวมอยู่ในค่าเข้าชมเรือดูลอส

1.       วันเสาร์ ที่ 30 กันยายน         เวลา 14.00-17.00 น.
2.       วันอาทิตย์ 8 และ 22 ตุลาคม  เวลา 14.00  -17.00 น.
3.       วันจันทร์  23 ตุลาคม              เวลา 10.00  -17.00 น.

         ห้องการแสดงนานาชาติ
ติดต่อขอรับบัตรเข้าชมฟรี  ได้ที่งานแสดงหนังสือบนเรือดูลอส

1.       วันอาทิตย์ ที่1 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น. ( พร้อมรับฟังเพลงไพเราะจากคณะนักร้องประสานเสียงของดูลอส)
2.       วัน เสาร์ ที่ 14 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น.

        ราตรีหรรษาเยาวชนนานาชาติ
ร่วมรับประสบการณ์นานาชาติจากการแสดงดนตรี  มัลติมีเดีย  ละคร  การเริงระบำ  และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย เชิญชมการแสดงพิเศษของคณะลูกเรือนานาชาติดูลอส
เข้าชมฟรี
1.       วันเสาร์ ที่ 21 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.00 น.
2.       สถานที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  35 ถนนประมวล สีลม ( ใกล้สถานีรถไฟสุรศักดิ์ )

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.doulos.org   E-mail : doulos.bangkok@gbaships.org
 หมายเหตุ : มีรถประจำทางให้บริการถึงท่าเรือคลองเตย สาย : 4, 47 ,72,102,162

พี่สาว-น้องชาย

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 2:37 AM
Subject :  เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว ไม่ลังเลที่จะส่งต่อ (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ)  

 ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน
>
>
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> “
ใครขโมยเงินไป” พ่อตวาด
>
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
> “
ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”
>
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมขโมยเองครับ”
>
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
>
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> “
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย”
>
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> ”
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว”
>
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี…
>
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
>
เรียนดีมากนะ”
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> “
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
>
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน”
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> “
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> “
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
>
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> “
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ … วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> “
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที
>

>
ไซท์ก่อสร้าง …
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ”
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
> …
>
ฉันถามเขาว่า
> “
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ”
>
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า “ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> “
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> “
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม”
>
ฉันถาม
>
> “
ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ…”
>
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
> …
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
>
>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว
>
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
> …
>
เขาบอกกับฉันว่า
> “
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”
>
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
> …
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> …
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> “
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> “
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> “
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”
>
> “
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ”
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี…
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> “
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> “
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ … นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ”
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก … “ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
>
น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

เหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนกรุงเทพคริสเตียน ชั้น ป 1 โดยคุณพ่อ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved :  Wednesday, October 4, 2006 1:28 AM
Subject :  FW: เหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนกรุงเทพคริสเตียน

น้องเฟย ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
ผู้จากไปด้วยโรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์
Coxsaki หรือ Enterovirus71ไหนเท่านั้นเอง
และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาได้
อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัสเหมือนกับโรคมือ ปาก
เท้า ทุกประการ เป็นคำยืนยันจากอาจารย์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่บำรุงราษฏร์และจุฬา ฯ

ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10 วันเท่านั้นเอง

วันอังคาร์ที่ 5/9/49 ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ป๊าจำได้ น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวดหัว
แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ และนอนต่อ จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน
และทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ

วันพุทธ ที่ 6/9/49 น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง
แต่ไข้ก็ยังไม่ลด ต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก วิ่งเล่นไปมา
ส่งเสียงดังลั่นบ้านจนนึกว่า นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ แต่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 7/9/49 น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่ 38.5 C คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณี คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ และให้ยาแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ไอ
แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน

วันศุกร์ที่ 8/9/49 น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน และเรียนหนังสือตามปกติ

วันเสาร์ที่ 9/9/49 โรงเรียนหยุด อยู่บ้าน ทานยาตามปกติ แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก
ต้องทานยาลดไข้เป็นระยะ พอทานยาเสร็จ ก็วิ่งเล่น ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ ดูทีวี คุยกับอาม่า
ทานอาหารได้

วันอาทิตย์ 10/9/49 ตอนบ่าย 2.30 มาม๊าไม่สบาย ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่ TK Park
อุทยานการเรียนรู้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน กดลิฟท์เอง
ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์ เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกดลิฟท์เป็นประจำ
พอไปถึงก็เข้าไปเล่นเกมส์อินเตอร์เนท จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น เราก็ออกมา น้องเฟยบอกว่าหิวข้าว
จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen แต่น้องเฟยบอกหนาว หนาวมาก ๆ
ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบวิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล มาป้อนน้องเฟยก่อน จนแกเริ่มดีขึ้น
ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ ได้จนหมดจาน นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด
เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมาก ๆ ไม่ชอบกินผัก จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที

วันจันทร์ที่ 11/9/49 คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กับหมอ วรรณี คนเดิมที่ รพ. กรุงเทพคริสเตียน
วัดไข้ได้ 38.5 C แต่ก็ยังร่าเริง วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ
ที่มาตรวจด้วยซ้ำไป คุณหมอจึงได้จัดยา ยา Zithromax เป็นยาแก้อักเสบ และ ยาลดไข้ 2 อย่าง
พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม คุยเสียงดัง ลั่นบ้านตามเคย

วันอังคาร์ที่ 12/9/49 น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ ตอนเย็นกลับบ้านทานยา Zithromax วันละ 1 ครั้ง
เป็นยาแก้อักเสบ

วันพุทธ ที่ 13/9/49 น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ “ “

Read the rest of this entry »

TO: ผู้ใจบุญ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved: Wednesday, September 27, 2006 3:10 PM
Subject :  FW: ถ้าสะดวกขอรบกวนช่วย FORWARD MAIL ถึงเพื่อนๆด้วย 
 

TO: ผู้ใจบุญ

     
พอดีได้รับ mail จากพี่ๆผู้ใหญ่ฅนอาสา ฝากช่วยประชาสัมพันธ์ บอกต่อๆกันไป หากมีความประสงค์จะช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ร่วมโลกใบเล็ก
อันบูดๆเบี้ยวใบนี้ เรียนเชิญได้ตามรายละเอียดด้านล่าง หรือแจ้งผ่านมายัง กลุ่มฅนอาสา (พัทยา ฟู้ดฯ) เรายินดีรับใช้ด้วยความเต้มใจยิ่ง สืบเนื่องจากได้รับ mail
ฉบับหนึ่งขอความช่วยเหลือสิ่งของบริจาคบ้านเด็กอ่อนพญาไท
ซึ่งรับเลี้ยงเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ขวบ จำนวน 300 กว่าคน
ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและมีเด็ก
ที่ติดเชื้อ HIV ประมาณ 40 กว่าคน
ของที่คนส่วนใหญ่นำมาบริจาคปกติแล้วจะเป็นนมกล่องและนมผง
เนื่องจากตอนนี้บ้านเด็กอ่อนพญาไทได้ขึ้นบอร์ดขอความช่วยเหลือว่าต้องการของ
ตามรายการเหล่านี้มากเป็นพิเศษลองดูนะว่าเราสามารถช่วยอะไรได้บ้างตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน
1.
ผ้าก๊อส (ทำแผล)
2.
ผ้าอ้อมกระดาษ(ทุกขนาด)
3.
ข้าวหอมมะลิ
4.
สายดูดเสมหะ เบอร์8,
5.
นมผงยี่ห้อเอนฟาแลค, โอแล็ค. อะแลคต้า
6.
น้ำเกลือสำหรับทำแผล
7.
ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่
8.
ยาทาเชื้อรา (ผิวหนัง) ผ้าขนหนู
9.
แอลกอฮอล์(ทำความสะอาดแผล 70%)
10.
ผ้าเช็ดหน้าเด็ก
11.
ถุงมือขนาด S, M
12.
เสื้อและกางเกงเด็ก 1-3 ขวบ
13. Asmasol Solution 20 ml. (
ยาพ่น)
14. Prepulsid Susjunsion
15.
รองเท้า และ ถุงเท้าเด็ก 1-3 ขวบ
16.
กระดาษชำระ
17.
สบู่เด็ก
หากว่าใครประสงค์จะบริจาค หรือสอบถามรายละเอียด โปรดติดต่อ
บ้านเด็กอ่อนพญาไท โทร.
0-2246-4092
หรือส่งพัสดุที่ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท
264/1
ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไทเขตราชเทวี กทม 10400
หรือ โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารามาธิบดี
เลขที่ 026-2-28911-5 ชื่อบัญชี มูลนิธิสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท
ถ้าสะดวกขอรบกวนช่วยFORWARD MAIL ถึง เพื่อนๆด้วยครับ

Taxi

ตุลาคม 4, 2006

Recieved: Wednesday, September 27, 2006 5:56 AM 
Subject:    Fw: Taxi

 เรื่องเล่าวันนี้โดนแท็กซี่มอมยาล่ะ ..วันนี้อ่ะ (  วันเสาร์ ) ได้หยุด 1 วันก็เลยมาจตุจักร พอ
ประมาณ 6.30  น  ก็โบกแท็กซี่หน้าจตุจักรเพื่อที่จะมาวิภาวดีซอย 20
ปกติเป็นคนระวังตัวอยู่แล้ว ขึ้นรถปั๊บ  สิ่งที่ทำสิ่งแรกคือ มองดูทะเบียนรถแล้วก็สังเกตคน
ขับ  อ่านจากฟอเวิร์ดเมล์ต่างๆขอบอกว่าพวกนี้มีประโยชน์มากๆนะคะ
วันนี้ที่รอดมาได้ก็เพราะอ่านเมล์ที่เพื่อนๆ  กรุณาส่งมาให้อ่านนี่ล่ะเคยอ่านว่า  พวกนี้จะชอบเอามือมาอัง
ไว้ที่แอร์หรือไม่ก็หมุนหน้าปัดวิทยุคือไอ้เจ้าคนขับคนนี้
มันทำทั้ง  2 อย่างแล้วขอบอกมันนิ่งมากๆ  ทีแรกพอมันเอามือมาอังที่แอร์ เราก็เริ่มเอะใจว่ามันจะมอม
ยาตรูรึป่าววะเนี่ย  แล้วมันไม่ได้อังแบบหน้าเกลียดนะ
มันแค่เอาปลายนิ้วไปแตะไว้ตรงหน้ากากแอร์อันทางขวาช่วงล่างๆนิดเดียวถ้าคนไม่คอยมองก็อาจจะ
ไม่สังเกต…สักพักมันก็เอื้อมมือไปหมุนหน้าปัดวิทยุอีก….แล้วสักพัก
เราก็รู้สึกวูบ…เร็วมากๆ คือ  หูจะเริ่มอื้อหายใจไม่สะดวก(จะรู้สึกอึดอัดมากๆ) ตาพร่า  และแขนขา
ไม่มีแรง…อาการแบบนี้เราคุ้นเคยนะ…จากการโดนวางยาสลบผ่าตัดมาแล้ว
2  ครั้งทำให้เรามั่นใจว่ามันเป็นยาสลบแน่ๆ  เสี้ยววินาทีนั้นแล้วก็ยื่นหน้าสูดหายใจให้ลึกที่สุด  ตอนนั้น
รถยังวิ่งอยู่ตรงห้าแยกลาดพร้าว )แล้วก็บอกว่า พี่  จอด…ขอลงตรงนี้
แล้วก็ควานหาน้ำมากิน  เพราะอ่านเมล์อันนึงเค้าบอกว่าเราก็เลยคิดว่ามันอาจจะช่วยให้เราดีขึ้นแล้วมัน
ก็ช่วยจริงๆ  …..อาการวูบหายไปแขนขาเริ่มมีแรง  มีอาการมึนหัวเข้ามาแทนที่
ทั้งๆที่ก่อนขึ้นรถ  สมองปลอดโปร่งมาก….อย่างที่บอกอ่ะ  มันนิ่งมากๆ  แล้วมันคงจะรู้ว่าเรารู้ตัว
แล้ว   มันคงอยากให้เราลงจากรถมันเหมือนกัน  เพียงแต่ตอนนั้นรถอยู่เลนขวาสุด
เข้าซ้ายไม่ได้  มันก็บอกว่า  ลงได้จะลงเลยมั๊ยแล้วก็ทำท่าจะหักพวงมาลัยกลับรถไปจอดให้ฝั่งตรง
ข้าม ตอนนั้นนึกได้ว่า  เรามีกล้องดิจิตอลอยู่ ……  ก็เอาวะบอกมันว่าไม่ต้อง ….
ไปส่งให้ถึงที่น่ะแหละ    แล้วเราก็กดโทรศัพท์หาพี่บอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่แยกลาดพร้าวนะกำลังจะไปถึง
ตอนนี้อยู่ในแท็กซี่ อีก 10 นาทีจะไปถึง  ออกมารับด้วยล่ะ  แท็กซี่เขียวเหลืองนะ
เลขทะเบียนมข.  768 ช่วยจำด้วย อีก 10 นาที  ใกล้ถึงแล้วจะโทรหาอีกที เราเปิดกระจกไว้ตลอด
แล้วนั่งให้ชิดประตูมากที่สุด  เราก็หยิบกล้องขึ้นมา แต่ไม่กล้าถ่ายภาพนิ่งเพราะตอนนั้น
ก็เกือบทุ่มแสงน้อยแล้วอีกอย่างไฟถนนมันสว่างกว่าในรถ  ถ้าใช้แฟลช มันรู้ตัวแน่ก็เลยปรับเป็นถ่ายวีดีโอ
แต่จะไม่ส่องที่ตัวมันโดยตรงแพนกล้องไปเรื่อยๆหยุดอยู่ที่มันเป็นระยะ
แล้วมันคงจะเป็นมืออาชีพ … ที่ตลอดเวลา  มันไม่หันหน้ามาให้เราเห็นเลยข้างๆก็ไม่หันอ่ะ  มีแต่
เหลือบๆมองที่กระจกบ้าง  …แล้วภาพที่ถ่ายออกมาก็ค่อนข้างมืดแต่ก็พอระบุรูปพรรณได้เหมือน
ได้  เพราะมันค่อนข้างผมหยิกและผอม
 ….
ก็มาถึงที่หมาย  ตรงนั้นมีรปภนั่งอยู่หลายคน  พอลงจากรถแล้วมันก็ไม่ยอมไป เราก็เลยเดินไปตรงที่มี
รปภนั่งอยู่เยอะๆ  มันก็เลยขับออกไป….โทรไปเล่าให้พี่คนนึงฟัง
เค้าก็บอกลองโทรไปที่ 1644 ก็  เลยเล่าให้เค้าฟังสักพักก็มีคนโทรกลับมาบอกว่า ให้เราพูดออน  แอร์
กับคุณพรสวรรค์สวพ. 91ร่วมด้วยช่วยกัน  ตื่นเต้นเล็กๆ  เค้าก็ถามถึง
วิธีเอาตัวรอดไม่รู้จะมีใครเอาไปใช้ได้มั๊ยแต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ก็ได้นะ….ตอนนี้กลับมาถึงบ้าน
โดยปลอดภัยแต่ก็รู้สึกคลื่นไส้และมึนๆอยู่   ปกติไม่ค่อยชอบนั่งแท็กซี่เท่าไหร่
เพราะก็กลัวๆเรื่องพวกนี้เหมือนกัน  ไม่นึกว่าจะเจอจริงๆ อืมนะ ….ใกล้ตัวมากๆ เพื่อนๆ  ก็ระวัง
ตัวกันด้วยนะ

วัดพระบาทน้ำพุ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved:  Wednesday, September 27, 2006 2:34 AM
Subject :  Compassion Needed

ถ้าไม่ช่วย อีกไม่เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง !!!

ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ  จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปีแล้ว  ทั้งๆที่ท่านมีพร้อมทุกอย่าง  จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรจากออสเตรเลีย  แต่ท่านก็เสียสละได้  เพียงเพราะท่านเห็นว่า  ผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นไร้ที่พึ่งจริงๆ  ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อเอดส์  ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัวเองได้เลย  หลวงพ่อท่านเห็นว่า  ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่านี้  ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้ 

 ทุกวันนี้  ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน  ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณสามล้านกว่าบาท  แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา  เห็นว่าลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง  ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น

 เคยโทรไปถามที่วัดเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน  พนักงานก็บอกว่า  รายรับเท่าเดิม  แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน  ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็แสนจะแพง  แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น  ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ได้  เนื่องจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเสมอ  ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป  ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคนชราและเด็กที่คนในครอบครัวเสียชีวิตเพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล  

  ตอนนี้ ต้องมีการส่งผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้างแล้ว  และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัวลง!!!!!!

หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่กรุงเทพฯทุกสัปดาห์  ต้องไปหลายที่ต่อหนึ่งวัน   เพราะรอคนไปช่วยเหลือถึงวัดไม่ไหว  เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนจริงๆ

 เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มากเป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว  และแนวโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ   สวนทางกับอายุของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลงทุกที  อยากให้พวกเราเข้าใจว่า  เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน 

พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ 

ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวันเสาร์ 

ตั้งแต่ 8.30 น. -10.00 น.  ที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์ 

ข้างๆอาคารบีอีซี เทโร  สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด), ยา, ผ้าอ้อม, สำลี, ของอุปโภคบริโภคต่างๆ, หนังสือ, เสื้อผ้า ฯลฯ

หรือบริจาคผ่านธนาคารให้กับ ” กองทุนอาทรประชานาถ ” ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก  รายละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้

ธ.กรุงเทพฯ สาขาลพบุรี  289-0-84697-1

ธ.ทหารไทย สาขาลพบุรี  304-2-41277-9

ธ.กสิกรไทย สาขาถนนสุรสงคราม  174-2-39000-0

ธ.ไทยพาณิชย์  สาขาลพบุรี   579-2-33730-7

ธ.กรุงศรีอยุธยา  สาขาลพบุรี  111-1-47300-7

ธ.นครหลวงไทย  สาขาลพบุรี  340-2-14976-0

ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0

และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วยได้เดี๋ยวนี้ คือ  การบอกต่อถึงเรื่องนี้ และช่วยส่งเมล์นี้ไปให้คนที่รู้จักทุกๆคน

ขอขอบคุณแทนวัดพระบาทน้ำพุล่วงหน้าด้วยค่ะ