ปลายประสาทอักเสบ

ธันวาคม 16, 2006

Recieved :  Friday, December 15, 2006 6:23 AM
Subject :  Fw: ๏~* ปลายประสาทอักเสบ…โรคฮิตของคนทำงาน *~๏  

มีเพื่อนรุ่นน้อง(ผู้หญิง)คนหนึ่งทำงานด้านบัญชี

และ งานของเธอก็ใช้คอมพิวเตอร์มานานประมาณ 7 ปี

เมื่อหลายเดือนก่อนเธอเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างมาก แต่ก็ไม่เอะใจเพราะคิดว่าคงนั่งทำงานอยู่หน้าคอมมากเกินไป
เธอก็ไปนวด(แผนโบราณค่ะ) เพื่อให้เส้นสายมันคลายความตึงเครียด นวดทีก็สบายที
ผ่านไป 3 เดือน อาการปวดเมื่อยก็ยังเป็นๆหายๆและปวดเมื่อยมากขึ้น ชาตามปลายนิ้ว และแขน

ย่างเข้าเดือนที่ 4 ปรากฏว่าเริ่มชามากขึ้น นานขึ้น และแล้วคืนวันหนึ่งขณะที่กำลังลุกขึ้นจากเตียง ปรากฏว่าทรงตัวไม่ได้ มันอ่อนปวกเปียกไปหมด ปวดหัวอยากอาเจียน อ่านอะไรกว่าจะสะกดตัวหนังสือได้ก็นาน บวกเลขก็ช้าลง

จึงกลับไปพบหมออีก คุณหมอสงสัยจึงซักประวัติชีวิตประจำวันอย่างละเอียด แล้วขอทำสแกน MRI (ไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่า) พบว่าปลายประสาทอักเสบอย่างรุนแรง เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง, น้ำในไขสันหลัง ข้อที่ 4 และ 5 ไม่มี

คุณหมอให้ยามาทานผ่านไป 2 อาทิตย์ อาการชาหายไป แต่ยังปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออยู่มาก จึงไปพบหมอกระดูที่ รพ.ศิริราช คุณหมอกระดูก ตรวจและซักประวัติ ก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไรนอกจากออกกำลังกายด้วยการเดินวันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะมันอักเสบอย่างรุนแรงไปแล้วคงไม่กลับมาดีดังเดิมแน่ ถ้ามาช้า มันจะชาไปทั้งแขนขา ปัสสาวะไม่ได้เลยทีเดียว
สาเหตุมีเยอะแยะ เช่น ทำงานหนัก เครียด สาวออฟฟิซเป็นกันมากแต่ไม่ใช่จากการเครียดแต่เป็นเพราะนั่งทำงานในท่าทีไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆในแต่ละวัน


ประโยชน์ของโทรศัพท์มือถือ

ธันวาคม 12, 2006

Recieved:  Wednesday, November 29, 2006 6:53 PM
Subject :  FW: เรื่องจริง ควรรู้ไว้นะ

ประโยชน์ของโทรศัพท์มือถือที่คุณอาจยังไม่ทราบ

>>> >1.  
>>>หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
>>> >
>>> >ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขต
>>>ที่ไม่มีสัญญาณเลย
>>> >
>>> >แต่มีเหตุด่วนเหตุร้าย ให้กด 112 แล้วมันจะหา
>>>เบอร์ให้เองอัตโนมัติ
>>> >
>>> >แม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้..ลอง
>>>ดูสิครับ
>>> >
>>> >หมายเหตุ – ถ้าอยู่ดาวอังคารคงใช้ไม่
>>>ได้…
>>> >
>>> >
>>> >
>>> >2.  ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้
>>>ในรถ…สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
>>> >
>>> >ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามี
>>>กุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน
>>> >
>>> >ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือ
>>>ถือ
>>> >
>>> >(เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ)
>>> >
>>> >
>>>เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรอง
>>> >
>>> >ใน
>>>ขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
>>> >
>>> >(คนที่อยู่
>>>บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กด
>>> >
>>>ปุ่ม)
>>> >
>>> >ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเองเลย
>>>แหละ
>>> >
>>> >ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็น ร้อย ๆ
>>>กม. ก็ตาม
>>> >
>>> >
>>> >
>>> >3.   กรณีแบ็ตใกล้จะ
>>>หมด *3370#สำหรับมือถือ Nokia
>>> >
>>> >ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้
>>>ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออก
>>> >
>>> >ให้กด *3370# มันจะรีดพลังสำรองที่
>>>ซ่อนออกมา
>>> >
>>> >แล้วแสดงให้เห็นว่าเพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมา
>>>อีก 50%
>>> >
>>> >และมันจะชดเชยส่วนสำรองนี้ในการชาร์จแบ็ตครั้งต่อ
>>>ไป
>>> >
>>> >
>>> >
>>> >4.   ถ้าโทรศัพท์หาย ต้องการทำให้
>>>ใช้ไม่ได้ตลอดไป
>>> >
>>> >ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number
>>>ประจำเครื่องซึ่งมี 15-17
>>> >หน่วย
>>> >
>>> >การที่จะทราบหมายเลขนี้
>>>ก็ไม่ยากครับกด *#06#
>>> >
>>> >แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็น
>>>ทันทีเหมือนเล่นกล
>>> >
>>> >จดไว้ครับแล้วเก็บไว้ให้
>>>ดี…..
>>> >
>>> >ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่นให้โทรไปที่
>>>ศูนย์
>>> >
>>> >แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไปเขาก็จะบล็อคเครื่องของเรา
>>>ให้
>>> >
>>> >แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย
>>> >
>>> >
>>>ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน Sim card
>>> >
>>> >มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่
>>>ดี
>>> >
>>> >ได้อย่างเดียวคือไว้เขวี้ยงหัวหมาหรือหลังคาคน
>>>อื่น
>>> >
>>> >อาจจะหลอกไปขายต่อได้..ถ้าคนซื้อต่อเขาไม่
>>>รู้
>>> >


พาราเซตามอล

ธันวาคม 12, 2006

Recieved:  Thursday, November 30, 2006 7:29 PM
Subject :  FW: พิษของพารา…ใครว่าธรรมดา

พิษของพารา…ใครว่าธรรมดา
ภญ.อัมพร จันทรอาภรณ์กุล

พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือดเหมือนยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory; NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็นอะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง    ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหต

ในหลายประเทศได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจวิจัยพบว่ามีการใช้ ยาพาราเซตาอลเกินขนาดมากขึ้นทุกปี  และมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการเกิดพิษของพาราเซตามอลจำนวนมากจนน่าตกใจจนต้องออกมารณรงค์ให้ใช้ยาพาราเซตามอลเฉพาะเมื่อมีความจำเป็น และเผยแพร่ความรู้เรื่องพิษของยาให้ประชาชนตระหนักมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว เอกสารกำกับยา หรืออินเตอร์เน็ต

อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอลที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับวาย รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่นนั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    • ที่เกิดจากความตั้งใจ ทุกคนคงทราบกันดี นั่นคือ การกินพาราเซตามอลประชดชีวิต การฆ่าตัวตาย ซึ่งบางรายก็แค่ต้องการประท้วง เรียกร้องความสนใจ นึกว่าพิษของพาราเซตามอลเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพาราเซตามอลจะทำให้ตับเสียการทำงานหรือตับวายได้ ซึ่งหากได้รับยาต้านพิษไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียชิวิตได้
    • ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เนื่องจากพาราเซตามอลที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีหลายรูปแบบ หลายความแรง หลายยี่ห้อซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ ได้แก่ รูปของยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม และการนำพาราเซตามอลไปผสมกับยาอื่นๆ ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น ทำให้เกิดการกินยาซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัว หากเป็นระยะเวลาไม่นานแค่ 2 ถึง 3 วันก็ยังพอไหว หากระยะเวลานานเป็นเดือนการเกิดพิษต่อตับคงเกิดอย่างแน่นอน ดังนั้นทางที่ดี ก่อนกินยาอะไรควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสียก่อน และหากไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร เป็นยาสูตรผสมหรือไม่ ก็ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนทุกครั้ง

เรื่องที่น่าคิดอีกเรื่อง คือ การกินพาราเซตามอลร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ รัม ยีน หรือ เบียร์ เพราะตัวแอลกอฮอล์เองเป็นที่ทราบกันดีว่าหากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องกันนานๆ ก็ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ตับวายได้ หากกินร่วมกับพาราเซตามอลก็จะเท่ากับเป็นการเหยียบคันเร่งให้ตับพังได้เร็วยิ่งขึ้น คณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายให้มีการพิมพ์คำเตือนบนฉลากยาพาราเซตามอลว่า “ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์”เนื่องจากเกิดคดีพิพากษาเกี่ยวกับการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับไวน์เป็นประจำของชาวเวอร์จิเนียรายหนึ่งจนทำให้ตับวาย จนต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่ บริษัทผู้ผลิตยาแพ้คดีต้องจ่ายเงินชดใช้ถึง 8 ล้านดอลลาร์

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะเตือนคุณผู้อ่านก็คือ เรื่องของยาตีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง แต่เดิมไม่เคยมีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย    คิดว่าพาราเซตามอลเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่มีพิษสงอะไร ไม่ตีกับยาอื่น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วเนื่องจากระยะหลังนักวิจัยได้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะคนใช้ยาพาราเซตามอลมากขึ้น ยังกับพาราเซตามอลเป็นขนมอย่างนั้นแหละ ตัวอย่างหนึ่งที่ดิฉันพบเองก็คือ พาราเซตามอลตีกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่งในผู้ที่เป็นเลือดข้น กล่าวคือพาราเซตามอลทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้หากได้รับในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเท่ากับไปเสริมฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือดจนทำให้ผู้นั้นเกิดเลือดออกผิดปกติขึ้น

ทางที่ดีคุณควรใช้ยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็นในขนาดการรักษาปกติ คือ ยาพาราเซตามอล 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็กินแค่ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด ก็เพียงพอ) และหากไม่มีอาการแล้วก็ควรหยุดกินยาทันที หรือหากใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 3-4 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติมจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

จากหนังสือ Health today ฉบับเดือนสิงหาคม 2549


ข้อคิดดีๆ

ธันวาคม 12, 2006

Recieved:  Sunday, December 3, 2006 4:20 AM
Subject :  FW: ข้อคิดดีๆ สำหรับผู้ที่กำลังหาแฟน หรือจะแต่งงานกัน  

>> >>>>ข้อคิดดีๆ สำหรับผู้ที่กำลังหาแฟน หรือจะแต่งงานกัน
>> >>>>
>> >>>>วันนี้ญาติผมมาเที่ยวบ้าน ได้เจอกับน้าชายผม แกก็ถามผมว่า
>>มีแฟนยัง
>> >>>>
>> >>>>ผมก็บอกเขาไปว่ากำลังดูๆ อยู่ แกเลยบอกวิธีดูผู้หญิงดีๆ
>> >>>>
>> >>>>เขาก็ถาม นี่ แกเข้าใจความของคำว่าสมรสไหม
>> >>>>
>> >>>>อ๋อ ก็ชายหญิงแต่งงานไง
>> >>>>
>> >>>>ไม่ใช่ ว่าแล้วแกต้องไม่รู้
>> >>>>
>> >>>>แล้วมันแปลว่ายังไงอ่ะ
>> >>>>
>> >>>>เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง
>> >>>>
>> >>>>สมรส แปลว่า รสเสมอกันหรือรสนิยมเสมอกัน
>> >>>>
>> >>>>รสเสมอกันมี 4 อย่าง (ผมจดมาเลย)
>> >>>>
>> >>>>เสมอไหม…ถ้าไม่
>> >>>>
>> >>>>อย่าแต่ง
>>แต่งแล้วจะเกิดปัญหา
>> >>>>
>> >>>>แต่ถ้าเสมอ…แต่งเลย ชีวิตครอบครัวจะสงบสุข
>> >>>>
>> >>>>รสนิยม 4 อย่างคือ
>> >>>>
>> >>>>มีศรัทธา…หรือความเชื่อเหมือนกัน
>> >>>>
>> >>>>ไม่ใช่ สามีจบวิทยาศาสตร์มา เชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุผลและมีที่มา
>> >>>>
>> >>>>ภรรยาศรัทธาหมอดู แปะยันต์รอบบ้าน คิดเองไม่เป็น
>>เชื่อซินแสตลอด
>> >>>>
>> >>>>อย่างนี้…อยู่กันยาก…
>> >>>>
>> >>>>มีศีลเสมอกัน
>> >>>>
>> >>>>สามีกินเหล้าเป็นอาจินต์…เล่นการพนัน
>> >>>>
>> >>>>ภรรยาทำบุญทุกวัน…รักษาศีล..
>> >>>>
>> >>>>อย่างนี้…อยู่ด้วยกันไม่รอด
>> >>>>
>> >>>>มีเมตตาเสมอกัน
>> >>>>
>> >>>>สามีใจบุญโอบอ้อมอารี…ชอบช่วยเหลือคนอื่น
>> >>>>
>> >>>>ภรรยายิ่งกว่าเกลือ…ปล่อยเงินกู้…ทุกอย่างต้องมีค่าตอบแทน
>> >>>>
>> >>>>อย่างนี้…อยู่ด้วยกันทะเลาะกันตาย
>> >>>>
>> >>>>มีปัญญาเสมอกัน
>> >>>>
>> >>>>สามีดูข่าว…อ่านผู้จัดการ…ทันโลกทันเหตุการณ์…
>> >>>>
>> >>>>ภรรยาอ่านข่าวดารา…ข่าวซุบซิบนินทา…ดูละครน้ำเน่า
>> >>&
>>gt;>
>> >>>>อย่างนี้…อยู่แล้วหาความสุขลำบาก
>> >>>>
>> >>>>พออธิบายเสร็จเขาก็บอกว่า ถึงมันจะเก่าแต่ก็ยังใช้ได้กับทุกสมัย
>> >>>>
>> >>>>เลือกใครต้องดูให้ดีอย่าสักแต่ถูกใจ และต้องดูกันนานมาก
>> >>>>
>> >>>>ผมรู้สึกดีใจครับที่มีญาติผู้ใหญ่ดีๆ ใกล้ตัว


เตือนภัยในที่จอดรถ

ธันวาคม 12, 2006

Recieved:  Tuesday, December 5, 2006 6:20 AM
Subject :  FW: เตือนภัยในที่จอดรถ กลยุทธ์ใหม่ ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ชิงรถ

>ทุกวันนี้มิจฉาชีพได้พัฒนาวิธีการกินอย่างผิดกฎหมายออกไปเรื่อยๆ
>บางครั้งบางวิธีเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
>แต่ก็เป็นไปแล้วและมีผู้ประสบมากับตัวจนสูญรถยนต์ไปซึ่งๆหน้า
>
>โดยคนร้ายจะเลือกลานจอดรถที่ไม่มียามเฝ้า ค่อนข้างปลอดคนเป็นทำเลในการลงมือ
>โดยมีอุปกรณ์คือกระดาษหนังสือพิมพ์กับเทปกาวเท่านั้น
>คนร้ายจะเลือกดูรถคันที่คนขับเป็นผู้หญิงมาตัวคนเดียว และจอดแบบเอาหน้ารถเข้า
>ซึ่งเมื่อเจ้าของรถไปจากรถแล้ว
>วายร้ายก็จะนำกระดาษหนังสือพิมพ์ไปแปะที่กระจกหลังจนเต็ม แล้วก็รอจังหวะ
>
>เมื่อเจ้าของรถกลับมาแล้ว
>เข้าไปในรถโดยที่ไม่ได้ดูก่อนกว่ารถตัวเองมีอะไรผิดปกติหรือไม่
>จะเข้าทางโจรพอดี เมื่อต้องการถอยรถออกจากช่องย่อมต้องมีการมองกระจกหลัง
>แต่พอเหลือบมองปรากฏว่ามีกระดาษอะไรไม่ทราบมาบังจนมองไม่เห็น
>ผู้ที่ไม่เฉลียวใจจะเปิดประตูออกไปเพื่อเอากระดาษออกโดยที่ยังติดเครื่องรถไว้
>และไม่ได้ล๊อคประตู
>คนร้ายที่ซุ่มรอจังหวะนี้จะฉวยโอกาสเปิดประตูเข้าไปนั่งแทนที่แล้วขับรถออกไปต่อหน้าเจ้าของทันที
>
>ส่วนใหญ่ที่โดนกันเป็นสุภาพสตรีที่ใช้รถและไปคนเดียว
>ต้องสูญทั้งรถและกระเป๋าถือ โทรศัพท์
>เนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่จะใส่ของพวกนี้ไว้ใน
>กระเป๋าถือที่แน่นอนว่าต้องวางอยู่ในรถขณะที่โดนชิง
>
>คำแนะนำสำหรับกรณีนี้คือ หากว่ามีความผิดปกติใดๆกับรถขณะที่ขยับออกจากที่จอด
>ไม่จำเป็นต้องเป็นกระดาษแปะกระจกหลังเสมอไป อาจเป็นในรูปมีคนมาชี้โบ๊ชี้เฐ๊
>เหมือนว่ารถเรามีอะไรผิดปกติก็ตาม หากท่านไปคนเดียวแล้ว ควรขับไปก่อนสักระยะ
>ให้ถึงที่ที่มีคนมากหน่อย หรือมี รปภ.อยู่ แล้วค่อยจอดรถลงมาดู
>แต่หากเป็นไปได้ให้เลี่ยงการจอดรถในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการหาย เช่น
>ที่ที่ไม่มี รปภ. เฝ้า ไม่มีการแลกบัตร หรือจอดในที่ที่ไกลสายตาผู้คนก็ตาม


เคล็ดลับ ควรจำ

ธันวาคม 12, 2006

Recieved:  Tuesday, December 12, 2006 1:53 AM  
Subject :  FW: เคล็ดลับ ควรจำ

> > >ชุดคำ ถามที่ 1 หมวด เคล็ดลับแม่บ้าน
> > >
> > >1.ไข่ขาวสามารถใช้ รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง
> > >แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ
> > >ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ
> > >หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก
> > >
> > >2.ยาหม่องสามารถ ใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา
> > >ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ
> > >
> > >3.ใส่หลอดในขวดซอส มะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน
> > >เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น
> > >
> > >4.ถุงน่องแช่น้ำ เกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3
> > >ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง
> > >ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน
> > >
> > >5.มันฝรั่งกำจัด กลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้
> > >โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่
> > >กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป
> > >
> > >6.พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 – 6 เม็ด
> > >เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้
> > >
> > >7.เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้
> > >เฉลย : จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที
> > >ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม
> > >ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น
> > >
> > >8.เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม
> > >หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว
> > >แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที
> > >แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น
> > >
> > >9.นำเหรียญสลึงใส่ แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงใน
> เหรียญ
> > >จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
> > >ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา
> > >
> > >
> > >10.ใบฝรั่งช่วยดูด กลิ่นได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก
> > >น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น
> > >ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้
> > >
> > >
> > >ชุดคำ ถามที่ 2 หมวดกินเพื่อสุขภาพ
> > >
> > >1.กินน้ำมะนาวปั่น สามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำ
> ผึ้ง
> > >เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง
> > >ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป
> > >ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้
> > >
> > >2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง
> > >เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
> > >การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
> > >
> > >3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง ได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า
> > >คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง
> > >และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
> > >
> > >4.ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ ทางเพศได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น
> > >เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร
> > >
> > >5.การเคี้ยวหมาก ฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็ว
> ขึ้น
> > >เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด
> > >เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น
> > >คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด
> > >หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
> > >
> > >6.การกินเนยก่อน นอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน
> > >ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
> > >
> > >7.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง
> > >การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
> > >และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ
> > >ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
> > >
> > >8.การกิน ช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะโกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์
> > >จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ
> > >ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
> > >
> > >9.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง
> > >ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35
> > >ใกล้ เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน
> > >เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย
> > >
> > >10.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำ เสื่อมได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ
> > >จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง
> > >สมองจึงค่อยๆ เสื่อม
> > >
> > >
> > >ชุดคำ ถามที่ 3 หมวดรู้ไว้ใช่ว่า
> > >
> > >1.การแลบลิ้นให้ น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน
> > >ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น
> > >ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
> > >
> > >2.ดูดนมยางของเด็ก ทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง
> > >ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน
> > >และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย
> > >
> > >3.การสูดกลิ่นตัว ผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน
> > >ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา
> > >เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
> > >
> > >4.แอปเปิ้ลผลิต กระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง
> > >กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน
> > >ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป
> ฟรุ๊ต
> > >หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน
> > >
> > >5.ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟัน
> ขาว
> > >และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะ
> มนุษย์
> > >
> > >6.วัวกระทิงเกลียด สีแดง จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้
> > >แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่
> นั้น
> > >เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า
> > >
> > >7.เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร
> > >ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้
> > >แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม
> > >
> > >8.การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะ
> กัน
> > >จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล
> > >หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
> > >
> > >9.แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน
> > >ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ
> > >ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น
> > >และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซา ได้
> > >
> > >10.การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์
> > >ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต
> > >และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้
> > >
> > >
> > >ชุดคำ ถามที่ 4 หมวดความสวยความงาม
> > >
> > >1.กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป
> > >มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว
> > >ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน
> > >และเหี่ยวย่นในที่สุด
> > >
> > >2.การยืนเอาปลาย นิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ
> > >1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ
> > >และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น
> > >
> > >3.เอาน้ำแข็งถู หน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ
> > >ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก
> > >น้ำเมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ – ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย
> > >
> > >4.การสวมเสื้อผ้า หนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ
> > >ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออก
> มา
> > >เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม
> > >
> > >5.คนผิวแห้งมี โอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน
> > >ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
> > >เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล
> > >และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน
> > >
> > >6.การฝึกกลั้นหาย ใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม
> > >แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง
> > >แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที
> > >จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
> > >
> > >7.การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : ไม่จริง
> > >แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มาก
> ถึง
> > >20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก
> ถึง
> > >50 แคลอรี
> > >
> > >8.กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะเมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง
> > >สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน
> > >จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก
> > >กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
> > >
> > >9.การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะการเต้นรำเพียงวันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี
> > >กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว
> > >ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี
> > >
> > >10.การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำ ทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ
> > >เฉลย : จริง เพราะช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ
> > >เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น
> > >ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่ ถ้าหากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ
> > >ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น


อันตราย ภัยผู้หญิง

พฤศจิกายน 28, 2006

Recieved :  Sunday, November 26, 2006 6:28 PM
Subject :  FW: อันตราย อ่าน!!

>>> >>>> >> >ใครต้องขับรถ.หรือมีแฟนสาวขับนรถก็อ่านไว้
>>> >>>> >> >น่ากลัวนะ อ่านไว้จะได้ระวังตัว

>> >คัดลอกจาก ตามล่ามาเล่า : ประไพพัตร โขมพัตร์

นิตยสารดิฉัน


ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสถานีตำรวจก้มหน้านิ่งตลอดเวลา ใบหน้าเธอซีดขาว บางครั้งก็เหม่อลอย แววตาหมดหวังและบางครั้งหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบตี 2 แล้วท่าทางของเธอสะดุดในผู้หญิงอีกคนซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยจนอดไม่ได้ที่จะหาโอกาส เข้าไป พูดคุยด้วยความสงสัยผู้หญิงทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน

แต่เหตุที่ต้องมาอยู่บนสถานีตำรวจในเวลาเดียวกันก็เนื่องจากอุบัติเหตุรถชนกัน เป็นการเฉี่ยวชนแล้วพยายามขับหนีแต่ไม่พ้นการจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณดังกล่าวได้
 

เธอซึ่งเป็นผู้เสียหายให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น> >>>> >จนเมื่อถึงเวลาสอบปากคำอีกฝ่ายเธอพยายามเข้าไปพูดคุยกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยความสงสัย ตอนแรกคิดว่าอาจจะกลัวหรือตกใจที่แฟนตัวเองพยายามหลบหนีหรือกังวลกับคดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
 

จึงบอกว่าถ้าชดใช้ค่าเสียหายก็จะไม่เอาความใดๆแต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างน่าตกใจพร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า เธอไม่ได้เป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้น ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลยอากัปกริยาเช่นนี้ยิ่งทำให้น่าสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม และยิ่งทำให้ต้องปลอบโยนเพื่อหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ด้วย

ความเป็นผู้หญิงด้วยกันทำให้ใช้เวลาไม่นาน เรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดออกมาเธอบอกว่ากำลังถูกผู้ชายคนนั้นจับตัวไว้เหมือนกัน

 
เธอกลัวมากและอายมากและกำลังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเธอเล่าจบทำให้ผู้ฟังรีบเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมชายคนนั้นไว้ทันที

ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้โชคร้ายความจริงบ้านของเธออยู่ที่จังหวัดนครปฐม ในขณะที่เธอกำลังขับรถกลับบ้านเป็นเวลา 3 ทุ่มก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาชนท้าย ผู้ขี่จักรยานยนต์เป็นผู้ชายคนหนึ่งรีบจอดรถลงมาดูความเสียหายและขอโทษขอโพยเธอเป็นการใหญ่
 

พร้อมทั้งบอกว่าไม่ต้องกังวลจะชดใช้ค่าเสียหายให้และพร้อมจะไปตกลงที่สถานีตำรวจด้วยท่าทางที่สุภาพนอบน้อมทำให้เธอไม่รู้สึกกลัวและยินดีที่จะไม่เอาเรื่องหากชดใช้ค่าซ่อมรถที่มีรอยบุบเพียงเล็กน้อย
 

ชายคนนั้นบอกให้เธอขับรถตามเข้าไปยังอู่ซ่อมรถที่อยู่ไม่ไกลเพื่อให้ช่างตีราคา และตกลงค่าซ่อม แต่ระหว่างทางขอนำรถมอเตอร์ไซด์เข้าไปเก็บที่บ้านก่อนเพราะรู้สึกว่าเครื่องยนต์ เริ่มมีปัญหา

เธอก็ขับรถตามไปจนถึงปากทางเข้าบ้านและนั่งคอยอยู่ที่รถ ชายคนนั้นกลับออกมาพร้อมชายคนหนึ่ง เปิดประตูและขึ้นนั่งประกบทันทีดันตัวเธอไปนั่งตรงกลาง ใช้มีดบังคับให้นั่งเฉยๆ และขับรถเขามากรุงเทพฯถึงธนาคารแห่งหนึ่งบริเวณงามวงศ์วานก็จี้ตัวเธอลงไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม ได้เงินจำนวนที่ธนาคารกำหนดให้กดจากตู้ในวงเงินเท่านั้นแต่เมื่อเห็นเงินในบัญชียังมีเหลืออีกมาก

จึงยังไม่ปล่อยตัวไปง่ายๆกันตัวไว้รอเวลาให้เลยเที่ยงคืนแล้วจะกดเงินจากตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง ในช่วงการรอคอยเวลาก็ขับรถมาแถวถนนลาดพร้าวเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมม่านรูด และผลัดกันข่มขืนเธอหลายครั้งแล้วก็สั่งอาหารรวมทั้งเบียร์มาดื่มกินในห้องจนมีอาการมึนเมา แล้วก็ข่มขืนอีก จนกระทั่งตี 2

ชายคนหนึ่งจึงขับรถพาเธอมาบังคับให้กดเงินให้อีก โดยให้สัญญาจะปล่อยตัวไปหากได้เงินที่ต้องการแล้ว ยังไม่ทันที่จะถึงธนาคารชายคนนั้นก็ขับรถชนท้ายรถคันหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเสียก่อนแล้วพยายามหลบหนี จนกระทั่งมาถูกจับกุมได้

เจ้าหน้าที่ตำรวจพาไปจับเพื่อนร่วมแก๊งอีกคนที่นอนคอยอยู่ในโรงแรมได้และพาตัวมาสอบสวน ทั้งคู่รับสารภาพว่าทำอย่างนี้กับผู้หญิงมาแล้วหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะตระเวนมองหารถที่มีผู้หญิงขับเพียงคนเดียวและมักจะหาเหยื่อตามจังหวัดที่อยู่รอบๆกรุงเทพฯ ผู้หญิงส่วนใหญ่อายไม่กล้าแจ้งความ กลัวเสียชื่อเลยทำให้ยิ่งได้ใจ
>ฝาก Forward ต่อไปให้เพื่อน ๆ
>คุณด้วยความห่วงใยด้วยนะครับ


แม่หาย

พฤศจิกายน 28, 2006

Recieved: Sunday, November 26, 2006 9:33 PM
Subject :  FW: แม่หาย ช่วยส่งหน่อย T_T

> > เรียน ทุกท่าน
> >
> > คุณแม่ของผมได้หายออกไปจากบ้านในซอยพหลโยธิน 34 ตั้งแต่วันพุธที่ 30
สิงหาคม
> > 2549 เวลาประมาณ 9.30 น. และยังไม่กลับมาจนถึงขณะนี้
> > โดยปกติ คุณแม่จะไม่ออกไปนอกบ้านเลย ไม่ว่าจะซื้อของหรือเดินเล่น
> > เนื่องจากแค่ออกไปปากซอยก็หลงแล้ว
> > ปัจจุบัน ท่านอายุ 80 ปี ร่างกายแข็งแรง เดินได้
> > สนทนารู้เรื่องเป็นปกติ
> > แต่มีความจำสั้น (มักถามเรื่องที่ถามไปแล้ว)
> >
> > วันเกิดเหตุ ผู้ที่ดูแลคุณแม่ที่บ้านบอกว่า
คุณแม่บ่นอยากไปอยุธยาตั้งแต่เช้า
> > (บ้านเกิด แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว และจริงๆ ท่านก็ไปไม่ถูก)
> > และแอบหนีออกไป
> > ช่วงที่คนดูแลเผลอ
> > สอบถามจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไปส่งคุณแม่ที่ปากซอย ได้ความว่า
> > คุณแม่จ้างให้ไปส่งที่ไหนก็ได้ที่สามารถขึ้นรถไปอยุธยาได้
> > มอเตอร์ไซค์จึงไปส่งที่หน้ากรมป่าไม้
> > และส่งขึ้นรถตู้ซึ่งไปสุดทางที่รังสิต
> > และบอกคุณแม่ว่าสามารถต่อรถไปอยุธยาได้จากตรงนั้น
> >
> > หลังจากที่พยายามติดต่อคนรู้จักทั้งในกรุงเทพฯ และอยุธยาแล้ว
> > รวมทั้งส่งคนไปติดตามหาตามท่ารถตู้ทั้งหมดแถวรังสิต
> > แต่ก็ยังไม่พบและไม่ได้อะไรเพิ่มเติม
> > ผมจึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน. บางเขน รวมทั้งแจ้ง จส. 100, สวพ. 91
> > ร่วมด้วยช่วยกัน ไว้แล้ว
> >
> >
แต่ก็อยากขอความกรุณาทุกท่านที่พักอาศัยหรือผ่านไปมาตั้งแต่ช่วงเกษตรถึงอยุธยา
> > หากพบเห็นหญิงชรา อายุประมาณ 80 ปี
> > โดยขณะออกจากบ้านคุณแม่ใส่เสื้อยืดฉลอง 60 ปี ในหลวงทรงครองราชย์
> > ด้านหลังสกรีนตัวอักษรขนาดใหญ่ “สก. อภิชาติ หาลำเจียก เขตจตุจักร”
> >
> > โปรดแจ้งผม นายคริษฐ์ ไข่มุกข์ โทรศัพท์ 086-8818111
> >
> > ขอบคุณครับ


คนโรคจิต แถวสีลม

พฤศจิกายน 24, 2006

Recieved : Monday, November 20, 2006 7:53 PM
Subject : Fw: EHS Newsletter : โฉมหน้าคนโรคจิต ย่านถนนสีลม บนรถสองแถวสาย 1272 – ส่งต่อให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัย

คนๆนี้จะขึ้นบนรถสองแถว สาย 1272 วิ่งระหว่าง ม.เทคนิคกรุงเทพ(ถนนนราธิวาส) ถึง โรงพยาบาล
จุฬาฯ กลับรถตรงสวนลุม

ถ้าได้ขึ้นรถเวลา 18.30-20.00 จะต้องเจอชายโรคจิตคนนี้ทุกทีไม่รู้เป็นงัย แต่ยังไม่โดนกับตัวเองนะ
แต่เห็นว่าเขาทำอะไรบ้าง ทุกครั้งที่เจอจะนั้งคนละฝั่งเพื่อที่จะมองเขาเห็น และ จะได้เตื่อนผู้หญิงที่จะ
ตกเป็นเหยื่อของมัน(ถ้าทำได้)

พฤติกรรมของเขาก็คือ จะนั่ง เบียดกันผู้หญิง เด็กสาว-วัยผู้ใหญ่ (ไม่รู้ว่าคนแก่ผู้หญิงมันจะทำลงมั้ย)ไม่
จำเป็นต้องแต่ตัวโป๊ะขอแค่ได้มองหน้าอกผ่านเสื้อผ้าเป็นใช้ได้
ในมือของเขาจะถือ กระดาษ หรือ สมุด ขนาดประมาณ A4 เอาไว้ปิดมือที่เขาจะสอดเข้าไปในกางเกง
เพื่อช่วยตัวเอง น่าจะเรียกว่า”ชักว่าว” พอเขาได้นั้งชิดกับผู้หญิง เขาจะเริ่มมองไปที่หน้าอก และเริ่ม
ปฏิบัติการช่วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ซึ่ง มันน่ารังเกลียด สะอิดสะเอียนที่สุด

ถ้าไม่มีใครสังเกตูก็จะทำไม่หยุด เสร็จแล้วเขาจะรีบลงรถป้ายที่ใกล้ที่สุด และ มีคนลงมากๆ จะได้มั่วไม่
จ่ายตังค์ เขาไม่เคยจ่ายค่ารถซักที ดิฉันสังเกตเขาทุกครั้งที่เจอ จริงๆแล้วที่ต้องสังเกตเพราะ ทั้ง
เกลียดทั้งกลัว และเพือระวังตัวไว้ด้วย

ก็มีครั้งหนึ่งย้ายมานั่งข้างดิฉันเฉยเลย ดิฉันลุกพรวดพราดย้ายที่นั่งทันที มันก็คงตกใจเหมือนกัน แต่เขาก็
ปฏิบัติการหาเหยื่อต่อไป ทุกครั้งที่เจอเขาก็ได้ทำทุกครั้ง เหมือนเป็นสันดาน, กิจวัตร, ความเคยชินของ

มัน เพราะไม่มีใครจับได้ หรืออาจรู้ทันแต่ก็อายไม่เอาเรืองมัน

ลองคิดดูสิถ้ารถแน่นๆ แล้วมันยืนเบียดกันแล้วจะเป็นอย่างไร (ดิฉันก็ไม่เคยเห็นตอนเขายืนซักครั้ง)
ขนาดตอนรถว่างๆ ไม่มีคนยืนซักคนมันยังทำได้เลย ใครรู้วิธีกำจัดคนเช่นนี้ช่วยแนะนำหน่อยนะ

ขอเตือนผู้หญิงทุกคนที่ใช้รถประจำทางสายนี้เอาไว้ เพราะนี่ถือเป็นภัยใกล้ตัวอย่างหนึ่ง ที่ต้องระวังเอา
ไว้ให้ดี่


Thai Environmetal Day Activity

พฤศจิกายน 24, 2006

Recieved: Thursday, November 23, 2006 2:46 AM
Subject : Invitation : Thai Environmetal Day Activity

December 4th is the Thai Environmental Day.
Greenpeace cordially invited our supporters to join the Thai Environmental Day Activity

On Saturday December 2rd, 2006
In front of MBK Center or Maboonkrong Center (Rama I Road)
From 10.00 am. to 06.00 pm.

This activity will encourage public to be aware the impact of environment that consisted of the
following activities :
– Multimedia Exhibition
– Environmental impact photo exhibition
– GMOs papaya, Toxic in mobile phone and climate change impact
– How to save the environment
– Games

For more information, please contact us at 0-2271-4832.

Sincerely yours,

Supporter Services Department
Greenpeace Southeast Asia
http://www.greenpeace.or.th

วันสิ่งแวดล้อมไทย 4 ธันวาคม 2549 ทางมูลนิธิฯได้จัดงานเพื่อเสริมสร้าง
ความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมขึ้น
โดยจะจัดงานขึ้นในวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2549
ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น.
บริเวณหน้าศูนย์การค้า มาบุญครองเซ็นเตอร์

กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย
– นิทรรศการมัลติมีเดียกลางแจ้ง
– นิทรรศการภาพถ่ายผลกระทบสิ่งแวดล้อม
– สิ่งแวดล้อม วิกฤตใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้าม (มะละกอจีเอ็มโอ,
สารพิษในมือถือ และวิกฤตโลกร้อน)
– ปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อม
– เกมสนุกเสริมความรู้

ทางมูลนิธิฯจึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านสมาชิกที่สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว
สำหรับท่านสมาชิกที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อ
มูลนิธิฯ ได้ที่ 0-2271-4832

ขอแสดงความนับถือ

ฝ่ายบริการสมาชิก
มูลนิธิกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
http://www.greenpeace.or.th


ข อง ใส่ บ า ต ร ต า ม วันเกิด

พฤศจิกายน 24, 2006

Recieved: Thursday, November 23, 2006 2:51 PM
Subject :  Fwd: FW: ข อง ใส่ บ า ต ร ต า ม วันเกิด 
 

 วันอาทิตย์
อาหารคาว : ประเภทไข่ ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ต้ม แกงกะทิ
อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ
น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ
ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู
ไหว้พระ : ปางถวายเนตร ( พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ 6 (สวดแบบย่อ อะวิช
สุ นุส สา นุต ติ)
ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด
             โรงพยาบาลโรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ
พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง
               อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

วันจันทร์
อาหารคาว : ประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอด
ปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้
แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด
อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก
                 มันลางสาด ขนมเปี๊ยะ
ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ
ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ ( พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ 15 ( สวดแบบย่อ อิ
ระ ชา คะ ตะ ระ สา)
ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี
พฤติกรรม : ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ
ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก
                ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง

วันอังคาร
อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว
ปลาช่อนตากแห้งทอด
อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม
ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม
กรรไกรตัดเล็บ
ไหว้พระ : ปางไสยาสน์ (พระนอน) มีกำลังเท่ากับ 8 (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ
นัง)
ทำทาน: คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก
พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน
การชิงดีชิงเด่น

วันพุธ (กลางวัน)
อาหารคาว : เน้นสีเขียว-หมู แกงเขียวหวานหมู
หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู คะน้าน้ำมันหอย
อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว
มะม่วงเขียวเสวยฝรั่ง ชามะนาว
ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา
ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 17 (สวดแบบย่อ ปิ สัม
ระ โล ปุ สัต พุท )
ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก
พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

วันพุธ (กลางคืน)
อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม
ไข่เยี่ยวม้า ห่อหมก
อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน
ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม
ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 12 (สวดแบบย่อ คะ
พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ )
ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด
พฤติกรรม :เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน
           เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด

วันพฤหัสบดี
อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า
อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร
ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้
ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา
ไหว้พระ : ปางสมาธิ ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 19 ( สวดแบบย่อ ภะ สัม
สัม วิ สะ เท ภะ)
ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว
พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล 5 อย่าซื่อจนเกินไป

วันศุกร์
อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม
อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก
ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม
ไหว้พระ : ปางรำพึง ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 21 ( สวดแบบย่อ วา โธ โน
อะ มะ มะ วา)
ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม
พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด
              จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย

วันเสาร์
อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน
น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
ไหว้พระ : ปางนาคปรก ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 ( สวดแบบย่อ โส มา
ณะ กะ ระ ถา โธ)
ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี
                  ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักหมม


เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง

ตุลาคม 26, 2006

Recieved: Wednesday, October 25, 2006 8:43 PM
Subject:  Fwd: เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง

เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง—เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
> > เพื่อนคนหนึ่งหกล้มในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ

> > แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่
> > ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น
> > อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง
> > เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ
> >
> > หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล
> > แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น
> > ถ้าหากเพื่อนๆรูจักวินิจฉัยอาการโรค
> > ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก
> > อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็น
> > อัมพฤตหรืออัมพาด
> > แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.
> > ก็จะมีโอกาสรอด
> >
> > วิธีวินิจฉัยอาการ
> > ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง
> > แพทย์แนะว่า  คนข้าง
> > เคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ
> > ก็สามารถวินิจฉัยอาการได้
> > โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
> > S:(smile)ให้ผู้ป่วยยิ้ม
> > T:(talk)ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์  เช่น  วันนี้อากาศสดใสดีจัง
> > R:(raise)ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
> > อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก
> > ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง  ใช่แล้ว ส่อ
> > อาการอันตราย
> > ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง  ให้รีบแจ้ง 119
> > และเล่าอาการให้ผู้รับสายฟัง
> > โปรดส่งข้อความนี้ให้เพื่อนๆ อย่างน้อย 10 คน เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น


ผู้หญิงกับกุญแจรถ

ตุลาคม 15, 2006

 Recieved :  Wednesday, October 11, 2006 5:15 PM
Subject: ผู้หญิงกับกุญแจรถ

ผู้หญิงกับกุญแจรถฝากมาอีกเรื่องเพื่อป้องกันตัวนะ
>> >
>> >      เป็นเรื่องที่ควรอ่านอย่างยิ่งนะ
>> >
>> >      ผู้หญิงควรอ่านเรื่องนี้เมื่อคุณนำรถเข้าสู่อู่
>>อย่าลืมที่จะทำใน
>> >
>> >      สิ่งต่อไปนี้ มอบเฉพาะกุญแจรถ
>> >
>> >      ( นำกุญแจบ้าน, กุญแจล็อคเกียร์หรือกุญแจอื่นๆออกเสีย ก่อน)
>> >
>> >
>> >
>> >เอาสติกเกอร์ที่จะแสดงที่อยู่ของคุณออกเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่รู้ว่าคุณ
อาศัยที่ไหนเป็น

    >> >
>> >
>>
>
>> >การเตือนถึงผู้หญิงทุกคนเกี่ยวกับอันตรายจากการมอบกุญแจบ้านที่มีกุญแจรถ

ติดอยู่ใน

    >> >
>> >      พวงกุญแจให้กับใครๆ
>> >
>> >      
>>เพื่อนของลูกสาวนำรถเข้ารับบริการในบริษัทยางแห่งหนึ่งที่รู้จักกันดี
>> >
>> >      เพื่อที่จะซ่อมยางที่แบน ขณะที่ เธอกำลังรอ
>> >
>> >      เธอไม่ทันคิดเธอยื่นกุญแจทั้งหมดให้กับบริกร และรอ
>> >
>> >
>> >      เธอไม่รู้อะไรว่าที่ซ่อมรถเกือบจะทุกแห่ง
>> >
>> >      ล้วนมีเครื่องปั๊มกุญแจหนึ่งในบริกรได้ปั๊มกุญแจ
>> >
>> >
>>
>อพาร์ทเมนท์ของเธอและสองวันผ่านไปมันได้เข้าไปในอพาร์ทเมนท์ของเธอกลางดึก

และ

    >> >
>> >      ข่มขืนเธอ
>>เธอใช้บริการซ่อมรถอยู่บ่อยครั้งและพวกมันมีข้อมูลต่างๆ
>> >
>> >      ของเธออยู่ใน
>> >
>> >      คอมพิวเตอร์ เช่น เธอพัก ที่ไหนเบอร์โทรศัพท์ของเธอเบอร์อะไร
>> >
>> >      ไอ้เลวนั่นโดนจับ
>> >
>> >      
>>เมื่อเดือนก่อนและตำรวจพบว่ามันเคยทำเหตุการณ์ระยำอย่างนี้มาแล้วแต่
>> >
>> >      ตอนนี้
>>อยู่ในคุกแล้วและลูกสาวเพื่อนฉันกำลังพยายามดำรงชีวิตต่อไป
>> >
>>
>      โปรดเตือนทุกคน
>> >
>> >      ให้แยกกุญแจอื่นๆ ออกจากกุญแจรถบางทีอาจช่วยผู้หญิงคนอื่นๆ
>> >
>> >      จากเรื่องน่าหดหู่ โปรด
>> >
>> >      ให้ข้อมูลนี้กับเพื่อนๆ และครอบครัว

หยุดเรื่อง MSN กันเสียที

ตุลาคม 15, 2006

Recieved: Friday, October 13, 2006 12:00 AM
Subject: FW: หยุดเรื่อง MSN กันเสียทีดีไหมครับ?
>>>>
>>>> >
>>>> > เรียนชาวเน็ตที่เคารพทุกท่าน
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเป็นคนหนึ่งที่เล่นเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538 ตลอดเวลา 11 
>>>> > ปีที่ผ่านมาได้รับฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่มีลักษณะว่า 
>>>> >
>>>>บริการฟรีหลายอย่างที่เรากำลังใช้กันอยู่กำลังจะเรียกเก็บค่าบริการหากท่าน 
>>>> > “ไม่ฟอร์ดเวิร์ด” เมลล์ต่อไปให้เพื่อนๆ ของท่าน อย่างน้อย 18 คน 
>>>> > (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่คนจะคิดกันได้) 
>>>> > ทำให้เกิดอีเมลล์ขยะที่น่ารังเกียจจากเพื่อนๆ ของท่านมากมาย 
>>>> > การที่พวกเราได้รับเมลล์ลักษณะนี้ แน่นอน 
>>>> > ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเป็นห่วงเป็นใยแก่เพื่อน เลยต้องการจะแจ้งข่าว 
>>>> > และก็เช่นกันบางส่วนอาจส่งเพราะต้องการให้พ้นตัว จะได้ไม่ต้องเสียเงิน 
>>>> >
>>>>ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะส่งอีเมลล์ฉบับนี้ดีหรือไม่ เนื่องจาก 
>>>> >
>>>>หากผมส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์แล้ว มันก็เท่ากับผมกลายเป็นคนเผยแพร่อีเมลล์ขยะ 
>>>> >
>>>>อีกรายหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ความอดทนของผมก็เริ่มมีขีดจำกัด โดยเฉพาะพักหลัง 
>>>> > ผมได้รับเมลล์มากจนบ๊อกซ์ของผมเต็มแล้วเต็มเล่า 
>>>> > และน่าเจ็บใจหลายครั้งที่เมลล์เหล่านั้นมาจากเพื่อนรักของผมทั้งหลาย
>>>> >
>>>> > เมลล์ที่ผมได้รับในช่วงนี้เป็นเมลล์ที่มีการอ้างอิง จากข่าวของบีบีซี 
>>>> > ซึ่งหน่วยงานดูน่าเชื่อถือใช่ไหมครับ แต่ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าว 
>>>> > เป็นข่าวตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นเวลา 5 
>>>> > ปีมาแล้วที่เขาบอกว่าจะมีการเก็บเงินภายในหนึ่งปี 
>>>> > แล้วท่านทั้งหลายโดนเรียกเก็บเงินแล้วหรือยังครับ ห้าปีแล้วนะ  
>>>> >
>>>>ผมตั้งข้อสงสัยอยู่ว่าถ้าจะเก็บเงินกันจริงๆ แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเป็นใคร 
>>>> > แล้วจะเก็บเงินเราได้ที่ไหน? ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้ใน MSN messenger  
>>>> > สามารถระบุมาถึงตัวท่านได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>อีกประการหนึ่งก็คือ การส่งต่ออย่างน้อย 18 คนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ 
>>>> > มีคนอ้างว่าถ้าส่งแล้วสัญลักษณ์รูปตัวคนของ MSN messenger  
>>>> >
>>>>จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน แต่ท่านที่ได้เป็นเหยื่อส่งต่อกันมาแล้วนั้น 
>>>> >
>>>>มันเปลี่ยนสีจริงๆ หรือครับ? นอกจากนี้ ถ้าแล้วส่งกันไปแล้ว คุณคิดว่าไมโครซอฟ 
>>>> > เขาจะรู้ไหมว่าคุณส่งแล้ว เขาจะมานั่งตรวจอีเมลล์คุณหรือป่าว 
>>>> > ถ้าจะบอกมันเป็นระบบอัตโนมัติสามารถเช็คได้จาก ฮ๊อทเมล์ 
>>>> > แล้วคุณคิดว่าระบบอัตโนมัติมันจะอ่านภาษาไทยนี้ได้หรือไม่ 
>>>> >
>>>>คุณคิดว่าอีเมลล์ที่คุณส่งแบบ 18 คนนั้นระบบจะแยกแยกออกจากจดหมายอื่นๆ 
>>>> > ของคุณได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเข้าไปอ่านเว็บไซท์ข่าวของบีบีซีที่มีการอ้างอิง(นานมากแล้ว) ก็สรุปคร่าวๆ 
>>>> > ได้ว่า การหารายได้จากค่าโฆษณามันไม่พอ 
>>>> >
>>>>เลยต้องเก็บเงินเพิ่มจากการให้บริการที่ดีกว่าหมายถึงถ้าคุณไม่พอใจในบริการพื้นฐานก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้บริการที่ดีขึ้น 
>>>> >
>>>>คล้ายกับ  ยาฮูเมลล์ ที่ต้องการพื้นพี่เพิ่มหรือบริการเพิ่มก็จ่ายเงินให้เขา 
>>>> >
>>>>(เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีดังนี้ Fees will be demanded for extra 
>>>> >
>>>>services that are now under development, such as an advanced filter system 
>>>> > to protect email accounts from junk mail. )
>>>> >
>>>> >
>>>>เราคงต้องมาทบทวนกันนิดนึงนะ ว่า MSN ที่คุณรู้จักคืออะไร คำว่า MSN 
>>>> >
>>>>ไม่ได้หมายความเฉพาะแค่ MSN messenger เท่านั้น หมายถึงระบบนี้ทั้งระบบเลย 
>>>> > ซึ่งหมายรวมถึง  MSN Hotmail ด้วย เพราะจริงๆแล้ว MSN 
>>>> > ในความหมายปัจจุบันนั้นเป็นชื่อของ เว็บไซต์ 
>>>> > ซึ่งมีบริการมากมายภายใต้เครื่องหมายนี้ (http://www.msn.com) ดังนั้น 
>>>> > การจั่วหัวข่าวว่า MSN ก็หมายถึง การบริการโดยรวม 
>>>> > ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรต้องอ่านให้แน่ใจ ย้ำอีกครั้ง MSN 
>>>> > ไม่ได้หมายความเฉพาะเพียงแค่ MSN messenger เท่านั้น
>>>> >
>>>> > ชาวเน็ตท่านใดที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษก็ช่วยเข้าไปอ่าน 
>>>> > (http://news.bbc.co.uk/1/hi/business/1189119.stm) ให้หน่อยเถิดครับ 
>>>> >
>>>>เพราะภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไร แค่อ่านจับใจความได้เท่านั้น 
>>>> > ท่านที่อ่านได้แล้วช่วยมาแปลให้คนอื่นๆ อ่านกันได้ก็จะดีมากครับ 
>>>> >
>>>>แม้ว่าจะเป็นข่าวที่เก่าแสนเก่าแล้วก็ตามจะได้เอาข่าวนี้ไปแอบอ้างอีกไม่ได้
>>>> >
>>>> > ผมเบื่อเมลล์ลักษณะนี้เต็มทีแล้วครับ 
>>>> > จดหมายลูกโซ่แบบนี้แบบสมัยก่อนก็จะมีข้อความประมาณว่า 
>>>> > ฮอทเมลล์จะเก็บค่าบริการแล้วนะ ให้คนส่งต่อจะช่วยได้ 
>>>> >
>>>>จนเขาประกาศออกมาเลยว่าไม่เก็บหรอกสบายใจได้ ก็จึงมาเล่นลักษณะเดียวกันกับ 
>>>> > ไอซีคิว (คนที่เล่นเน็ตมานานคงทราบดี) ซึ่งได้สร้างอีเมล์ขยะจำนวนมาก 
>>>> > ผมโดนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2538 แล้ว 11 ปีแห่งการเล่นเน็ตโดนมาโดยตลอด 
>>>> > เพียงแต่เปลี่ยนจากฮ๊อมเมล์ เป็น ไอซีคิว 
>>>> > จนมาเป็นเอ็ม(ที่ทุกท่านคงได้รับกันอยู่ในขณะนี้ 
>>>> >
>>>>ซึ่งผมได้รับเมลล์ฉบับที่มีข้อความเดียวกันนี้หรือใกล้เคียงกันนี้ 
>>>> > ติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่ตำกว่า 5 ปีเห็นจะได้ 
>>>> > ผมไม่เคยส่งต่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ยังสามารถเล่นได้จนบัดนี้
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้อย่างบอกอะไรบางอย่างแก่ผู้ที่หลับหูหลับตาส่งอีเมลล์ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าบางส่วนจะเกิดจากความหวังดีก็ตามเถิด 
>>>> > ว่า
>>>> >
>>>> > “เหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงใช้วิจารญาณให้ดีก่อนคิดจะทำอะไร 
>>>> > ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่”
>>>> >
>>>> >
>>>> > ด้วยความเคารพทุกคน และหวังว่าสังคมไทยจะเจริญขึ้น
>>>> >
>>>> > สวัสดี
>>>> >
>>>> > ธีรวัฒน์
>>>> >
>>>> > ปล.  เพิ่มเติม
>>>> > เมื่ออ่านข้อความข้างบนแล้ว หลายท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า 
>>>> > “ใครปล่อยข่าวเรื่องเก็บเงิน และทำเพื่ออะไร”
>>>> >
>>>> >
>>>>คำตอบในใจผมคือว่า  เขาต้องการ E-mail ครับ (ในการ FWD จะมี E-mail โชว์อยู่) 
>>>> >
>>>>แล้วนำ E-mail เหล่านั้นไปขายต่อให้ พวกบริษัททำขายตรง (หลายคนอาจจะเคยเห็น 
>>>> >
>>>>mail ที่บอกว่า “ขาย E-mail 300,000 รายชื่อ ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของท่าน”  
>>>> > จนเป็นที่มาของ E-mail ขยะประเภทขายสินค้าหรืออื่นๆ
>>>> >
>>>> > ดังนั้น ผมขอร้องให้ทุกท่านหยุดการ FWD พวกนี้ 
>>>> > เพราะทุกท่านอาจจะตกเป็นเครื่องมือของพวกขาย E-mail ไปโดยไม่รู้ตัว 
>>>> >
>>>>และอาจจะส่งผลกระทบถึง E-mail โฆษณาขยะที่จะเข้ามายัง Inbox ของท่านและเพื่อนๆ 
>>>> > ใน List ของท่านด้วย
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้ขอแนะนำว่า ถ้าท่านอยากส่งอีเมลล์นี้ไปให้เพื่อนท่าน ให้ใส่ชื่อ 
>>>> >
>>>>เมลล์ในช่อง BCC เพื่อจะได้ไม่ต้องให้อีเมลล์ของเพื่อนท่านปรากฎ
>>>> >
>>>> > วรพล  (Next เพื่อนธีรวัมน์)
>>>> >


Please join our relief work in Angthong

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Thursday, October 12, 2006 5:45 AM
Subject :  Please join our relief work in Angthong
 
 

กรีนพีซขอเรียนเชิญท่านสมาชิก
ร่วมเดินทางไปกับอาสาสมัครของเรา
เพื่อช่วยเหลือภัยน้ำท่วมจังหวัดอ่างทอง
ในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2549
รถออกฝั่งตรงข้าม 7-11 ซอยพหลโยธิน 2 เวลา 07.00 น.
ท่านที่สนใจร่วมเดินทางไปกับอาสาสมัครของเรา
ติดต่อได้ที่ 0-2271-4832

ภารกิจที่ต้องทำเป็นการบรรจุทราย อาหาร น้ำดื่ม
และขนย้ายไปยังผู้ประสบภัย
การลงพื้นที่ครั้งนี้ อาจเปลี่ยนแปลงได้
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยกรีนพีซประสานกับเทศบาลท้องถิ่น

มูลนิธิฯจัดเตรียม อาหาร และน้ำดื่ม
ให้กับท่านที่ร่วมเดินทางไปกับเรา
และต้องขอรบกวนท่านที่เดินทางไปกับเรา
แต่งตัวรัดกุม เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยน
ทำร่างกายให้พร้อมทำงานหนัก

ทางมูลนิธิฯ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ที่ส่งข่าวสารมายังท่านอย่างกระชั้นชิด
เนื่องจากต้องประสานงานกับเทศบาลท้องถิ่นถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือ

ขอแสดงความนับถือ

ฝ่ายบริการสมาชิก
มูลนิธิกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Dear Supporters,

Greenpeace would like to invite you to join our relief work in conjunction with the National
Disaster Relieve Center.  We will gather opposite 7-11 store on Paholyothin Soi  2 at 07:00 hrs
on this Saturday, 14th October 2006 and leave for Angthong, one of the provinces most effected
by the flood.  The province is now in need of labour to help them with varous relef efforts.

Greenpeace will provide food, drink and transportation for you.  Please dress
appropriately:boots and extra clothing for changing are recommended.

Please contact us at 0-2271-4832 to join our relief work.

Sincerely yours,

Supporter Services Department
Greenpeace Southeast Asia


การขับรถลุยน้ำท่วม

ตุลาคม 15, 2006

หยุดเรื่อง MSN กันเสียที

ตุลาคม 15, 2006

Recieved: Friday, October 13, 2006 12:00 AM
Subject: FW: หยุดเรื่อง MSN กันเสียทีดีไหมครับ?
>>>>
>>>> >
>>>> > เรียนชาวเน็ตที่เคารพทุกท่าน
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเป็นคนหนึ่งที่เล่นเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538 ตลอดเวลา 11 
>>>> > ปีที่ผ่านมาได้รับฟอร์เวิร์ดเมลล์ที่มีลักษณะว่า 
>>>> >
>>>>บริการฟรีหลายอย่างที่เรากำลังใช้กันอยู่กำลังจะเรียกเก็บค่าบริการหากท่าน 
>>>> > “ไม่ฟอร์ดเวิร์ด” เมลล์ต่อไปให้เพื่อนๆ ของท่าน อย่างน้อย 18 คน 
>>>> > (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าแล้วแต่คนจะคิดกันได้) 
>>>> > ทำให้เกิดอีเมลล์ขยะที่น่ารังเกียจจากเพื่อนๆ ของท่านมากมาย 
>>>> > การที่พวกเราได้รับเมลล์ลักษณะนี้ แน่นอน 
>>>> > ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเป็นห่วงเป็นใยแก่เพื่อน เลยต้องการจะแจ้งข่าว 
>>>> > และก็เช่นกันบางส่วนอาจส่งเพราะต้องการให้พ้นตัว จะได้ไม่ต้องเสียเงิน 
>>>> >
>>>>ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะส่งอีเมลล์ฉบับนี้ดีหรือไม่ เนื่องจาก 
>>>> >
>>>>หากผมส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์แล้ว มันก็เท่ากับผมกลายเป็นคนเผยแพร่อีเมลล์ขยะ 
>>>> >
>>>>อีกรายหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ความอดทนของผมก็เริ่มมีขีดจำกัด โดยเฉพาะพักหลัง 
>>>> > ผมได้รับเมลล์มากจนบ๊อกซ์ของผมเต็มแล้วเต็มเล่า 
>>>> > และน่าเจ็บใจหลายครั้งที่เมลล์เหล่านั้นมาจากเพื่อนรักของผมทั้งหลาย
>>>> >
>>>> > เมลล์ที่ผมได้รับในช่วงนี้เป็นเมลล์ที่มีการอ้างอิง จากข่าวของบีบีซี 
>>>> > ซึ่งหน่วยงานดูน่าเชื่อถือใช่ไหมครับ แต่ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าว 
>>>> > เป็นข่าวตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นเวลา 5 
>>>> > ปีมาแล้วที่เขาบอกว่าจะมีการเก็บเงินภายในหนึ่งปี 
>>>> > แล้วท่านทั้งหลายโดนเรียกเก็บเงินแล้วหรือยังครับ ห้าปีแล้วนะ  
>>>> >
>>>>ผมตั้งข้อสงสัยอยู่ว่าถ้าจะเก็บเงินกันจริงๆ แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเป็นใคร 
>>>> > แล้วจะเก็บเงินเราได้ที่ไหน? ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้ใน MSN messenger  
>>>> > สามารถระบุมาถึงตัวท่านได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>อีกประการหนึ่งก็คือ การส่งต่ออย่างน้อย 18 คนนี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ 
>>>> > มีคนอ้างว่าถ้าส่งแล้วสัญลักษณ์รูปตัวคนของ MSN messenger  
>>>> >
>>>>จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน แต่ท่านที่ได้เป็นเหยื่อส่งต่อกันมาแล้วนั้น 
>>>> >
>>>>มันเปลี่ยนสีจริงๆ หรือครับ? นอกจากนี้ ถ้าแล้วส่งกันไปแล้ว คุณคิดว่าไมโครซอฟ 
>>>> > เขาจะรู้ไหมว่าคุณส่งแล้ว เขาจะมานั่งตรวจอีเมลล์คุณหรือป่าว 
>>>> > ถ้าจะบอกมันเป็นระบบอัตโนมัติสามารถเช็คได้จาก ฮ๊อทเมล์ 
>>>> > แล้วคุณคิดว่าระบบอัตโนมัติมันจะอ่านภาษาไทยนี้ได้หรือไม่ 
>>>> >
>>>>คุณคิดว่าอีเมลล์ที่คุณส่งแบบ 18 คนนั้นระบบจะแยกแยกออกจากจดหมายอื่นๆ 
>>>> > ของคุณได้หรือไม่?
>>>> >
>>>> >
>>>>ผมเข้าไปอ่านเว็บไซท์ข่าวของบีบีซีที่มีการอ้างอิง(นานมากแล้ว) ก็สรุปคร่าวๆ 
>>>> > ได้ว่า การหารายได้จากค่าโฆษณามันไม่พอ 
>>>> >
>>>>เลยต้องเก็บเงินเพิ่มจากการให้บริการที่ดีกว่าหมายถึงถ้าคุณไม่พอใจในบริการพื้นฐานก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้บริการที่ดีขึ้น 
>>>> >
>>>>คล้ายกับ  ยาฮูเมลล์ ที่ต้องการพื้นพี่เพิ่มหรือบริการเพิ่มก็จ่ายเงินให้เขา 
>>>> >
>>>>(เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีดังนี้ Fees will be demanded for extra 
>>>> >
>>>>services that are now under development, such as an advanced filter system 
>>>> > to protect email accounts from junk mail. )
>>>> >
>>>> >
>>>>เราคงต้องมาทบทวนกันนิดนึงนะ ว่า MSN ที่คุณรู้จักคืออะไร คำว่า MSN 
>>>> >
>>>>ไม่ได้หมายความเฉพาะแค่ MSN messenger เท่านั้น หมายถึงระบบนี้ทั้งระบบเลย 
>>>> > ซึ่งหมายรวมถึง  MSN Hotmail ด้วย เพราะจริงๆแล้ว MSN 
>>>> > ในความหมายปัจจุบันนั้นเป็นชื่อของ เว็บไซต์ 
>>>> > ซึ่งมีบริการมากมายภายใต้เครื่องหมายนี้ (http://www.msn.com) ดังนั้น 
>>>> > การจั่วหัวข่าวว่า MSN ก็หมายถึง การบริการโดยรวม 
>>>> > ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรต้องอ่านให้แน่ใจ ย้ำอีกครั้ง MSN 
>>>> > ไม่ได้หมายความเฉพาะเพียงแค่ MSN messenger เท่านั้น
>>>> >
>>>> > ชาวเน็ตท่านใดที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษก็ช่วยเข้าไปอ่าน 
>>>> > (http://news.bbc.co.uk/1/hi/business/1189119.stm) ให้หน่อยเถิดครับ 
>>>> >
>>>>เพราะภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไร แค่อ่านจับใจความได้เท่านั้น 
>>>> > ท่านที่อ่านได้แล้วช่วยมาแปลให้คนอื่นๆ อ่านกันได้ก็จะดีมากครับ 
>>>> >
>>>>แม้ว่าจะเป็นข่าวที่เก่าแสนเก่าแล้วก็ตามจะได้เอาข่าวนี้ไปแอบอ้างอีกไม่ได้
>>>> >
>>>> > ผมเบื่อเมลล์ลักษณะนี้เต็มทีแล้วครับ 
>>>> > จดหมายลูกโซ่แบบนี้แบบสมัยก่อนก็จะมีข้อความประมาณว่า 
>>>> > ฮอทเมลล์จะเก็บค่าบริการแล้วนะ ให้คนส่งต่อจะช่วยได้ 
>>>> >
>>>>จนเขาประกาศออกมาเลยว่าไม่เก็บหรอกสบายใจได้ ก็จึงมาเล่นลักษณะเดียวกันกับ 
>>>> > ไอซีคิว (คนที่เล่นเน็ตมานานคงทราบดี) ซึ่งได้สร้างอีเมล์ขยะจำนวนมาก 
>>>> > ผมโดนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2538 แล้ว 11 ปีแห่งการเล่นเน็ตโดนมาโดยตลอด 
>>>> > เพียงแต่เปลี่ยนจากฮ๊อมเมล์ เป็น ไอซีคิว 
>>>> > จนมาเป็นเอ็ม(ที่ทุกท่านคงได้รับกันอยู่ในขณะนี้ 
>>>> >
>>>>ซึ่งผมได้รับเมลล์ฉบับที่มีข้อความเดียวกันนี้หรือใกล้เคียงกันนี้ 
>>>> > ติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่ตำกว่า 5 ปีเห็นจะได้ 
>>>> > ผมไม่เคยส่งต่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ยังสามารถเล่นได้จนบัดนี้
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้อย่างบอกอะไรบางอย่างแก่ผู้ที่หลับหูหลับตาส่งอีเมลล์ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าบางส่วนจะเกิดจากความหวังดีก็ตามเถิด 
>>>> > ว่า
>>>> >
>>>> > “เหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงใช้วิจารญาณให้ดีก่อนคิดจะทำอะไร 
>>>> > ว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่”
>>>> >
>>>> >
>>>> > ด้วยความเคารพทุกคน และหวังว่าสังคมไทยจะเจริญขึ้น
>>>> >
>>>> > สวัสดี
>>>> >
>>>> > ธีรวัฒน์
>>>> >
>>>> > ปล.  เพิ่มเติม
>>>> > เมื่ออ่านข้อความข้างบนแล้ว หลายท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า 
>>>> > “ใครปล่อยข่าวเรื่องเก็บเงิน และทำเพื่ออะไร”
>>>> >
>>>> >
>>>>คำตอบในใจผมคือว่า  เขาต้องการ E-mail ครับ (ในการ FWD จะมี E-mail โชว์อยู่) 
>>>> >
>>>>แล้วนำ E-mail เหล่านั้นไปขายต่อให้ พวกบริษัททำขายตรง (หลายคนอาจจะเคยเห็น 
>>>> >
>>>>mail ที่บอกว่า “ขาย E-mail 300,000 รายชื่อ ในการประชาสัมพันธ์สินค้าของท่าน”  
>>>> > จนเป็นที่มาของ E-mail ขยะประเภทขายสินค้าหรืออื่นๆ
>>>> >
>>>> > ดังนั้น ผมขอร้องให้ทุกท่านหยุดการ FWD พวกนี้ 
>>>> > เพราะทุกท่านอาจจะตกเป็นเครื่องมือของพวกขาย E-mail ไปโดยไม่รู้ตัว 
>>>> >
>>>>และอาจจะส่งผลกระทบถึง E-mail โฆษณาขยะที่จะเข้ามายัง Inbox ของท่านและเพื่อนๆ 
>>>> > ใน List ของท่านด้วย
>>>> >
>>>> >
>>>>สุดท้ายนี้ขอแนะนำว่า ถ้าท่านอยากส่งอีเมลล์นี้ไปให้เพื่อนท่าน ให้ใส่ชื่อ 
>>>> >
>>>>เมลล์ในช่อง BCC เพื่อจะได้ไม่ต้องให้อีเมลล์ของเพื่อนท่านปรากฎ
>>>> >
>>>> > วรพล  (Next เพื่อนธีรวัมน์)
>>>> >


พี่สาว-น้องชาย

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 2:37 AM
Subject :  เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว ไม่ลังเลที่จะส่งต่อ (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ)  

 ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน
>
>
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> “
ใครขโมยเงินไป” พ่อตวาด
>
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
> “
ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”
>
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมขโมยเองครับ”
>
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
>
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> “
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย”
>
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> ”
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว”
>
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี…
>
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
>
เรียนดีมากนะ”
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> “
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
>
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน”
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> “
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> “
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
>
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> “
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ … วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> “
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที
>

>
ไซท์ก่อสร้าง …
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ”
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
> …
>
ฉันถามเขาว่า
> “
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ”
>
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า “ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> “
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> “
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม”
>
ฉันถาม
>
> “
ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ…”
>
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
> …
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
>
>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว
>
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
> …
>
เขาบอกกับฉันว่า
> “
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”
>
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
> …
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> …
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> “
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> “
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> “
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”
>
> “
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ”
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี…
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> “
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> “
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ … นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ”
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก … “ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
>
น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 1:04 AM
Subject :  FW: ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

 

ชมเรือ MV  DOULOS  ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  
ระหว่าง  วันที่  29  กันยายน –  23 ตุลาคม 2549
ท่าเทียบเรือคลองเตย โกดังหมายเลข 1 กรุงเทพฯ
         
          เรือโดยสารเดินสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดโลก    
สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1914 หลังเรือไททานิคเพียงสองปี  ตลอด  28 ปีที่ผ่านมา  เรือดูลอสได้แวะจอดตามท่าในประเทศต่างๆ กว่า  100  ประเทศ  และได้ต้อนรับเข้าชมบนเรือกว่า 18 ล้านคน

          ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่า  6,000  ชื่อเรื่อง  ครอบคลุมในหัวข้อต่างๆ  เช่น กีฬาและงานอดิเรก  การศึกษาและการทำอาหาร   พจนานุกรม  หนังสือเกี่ยวกับเด็กและอื่นๆ อีกมากมาย  รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่คัดสรรมาจำหน่ายจำนวนหนึ่ง

         เวลาเปิดทำการ และการเข้าชม
ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีควรมีผู้ปกครองไปด้วย และกรุณาพกบัตรประจำตัวประชาชน

วันอังคาร – วันเสาร์           :  10.00 – 21.00 น.
วันอาทิตย์ และ วันจันทร์   :  14.00 – 21.00 น.

         ลูกเรือนานาชาติ  
มีอาสาสมัครคริสเตียน  320 คนซึ่งเป็นตัวแทนจากกว่า 45 เชื้อชาติ  เชิญขึ้นมาเยี่ยมชมเรือและผูกมิตรกับลูกเรือนานาชาตินี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในการฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ  มาเยี่ยมชมและร่วมรับความสนุกสนานจากการแสดงหลากหลายที่จัดโดยลูกเรือ  เพื่อแนะนำเรือดูลอส

         เทศกาลเฉลิมฉลองของเรือดูลอส
รวมอยู่ในค่าเข้าชมเรือดูลอส

1.       วันเสาร์ ที่ 30 กันยายน         เวลา 14.00-17.00 น.
2.       วันอาทิตย์ 8 และ 22 ตุลาคม  เวลา 14.00  -17.00 น.
3.       วันจันทร์  23 ตุลาคม              เวลา 10.00  -17.00 น.

         ห้องการแสดงนานาชาติ
ติดต่อขอรับบัตรเข้าชมฟรี  ได้ที่งานแสดงหนังสือบนเรือดูลอส

1.       วันอาทิตย์ ที่1 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น. ( พร้อมรับฟังเพลงไพเราะจากคณะนักร้องประสานเสียงของดูลอส)
2.       วัน เสาร์ ที่ 14 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น.

        ราตรีหรรษาเยาวชนนานาชาติ
ร่วมรับประสบการณ์นานาชาติจากการแสดงดนตรี  มัลติมีเดีย  ละคร  การเริงระบำ  และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย เชิญชมการแสดงพิเศษของคณะลูกเรือนานาชาติดูลอส
เข้าชมฟรี
1.       วันเสาร์ ที่ 21 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.00 น.
2.       สถานที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  35 ถนนประมวล สีลม ( ใกล้สถานีรถไฟสุรศักดิ์ )

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.doulos.org   E-mail : doulos.bangkok@gbaships.org
 หมายเหตุ : มีรถประจำทางให้บริการถึงท่าเรือคลองเตย สาย : 4, 47 ,72,102,162


ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 1:04 AM
Subject :  FW: ชมเรือ MV DOULOS ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

 

ชมเรือ MV  DOULOS  ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  
ระหว่าง  วันที่  29  กันยายน –  23 ตุลาคม 2549
ท่าเทียบเรือคลองเตย โกดังหมายเลข 1 กรุงเทพฯ
         
          เรือโดยสารเดินสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดโลก    
สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1914 หลังเรือไททานิคเพียงสองปี  ตลอด  28 ปีที่ผ่านมา  เรือดูลอสได้แวะจอดตามท่าในประเทศต่างๆ กว่า  100  ประเทศ  และได้ต้อนรับเข้าชมบนเรือกว่า 18 ล้านคน

          ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีหนังสือภาษาอังกฤษมากกว่า  6,000  ชื่อเรื่อง  ครอบคลุมในหัวข้อต่างๆ  เช่น กีฬาและงานอดิเรก  การศึกษาและการทำอาหาร   พจนานุกรม  หนังสือเกี่ยวกับเด็กและอื่นๆ อีกมากมาย  รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่คัดสรรมาจำหน่ายจำนวนหนึ่ง

         เวลาเปิดทำการ และการเข้าชม
ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีควรมีผู้ปกครองไปด้วย และกรุณาพกบัตรประจำตัวประชาชน

วันอังคาร – วันเสาร์           :  10.00 – 21.00 น.
วันอาทิตย์ และ วันจันทร์   :  14.00 – 21.00 น.

         ลูกเรือนานาชาติ  
มีอาสาสมัครคริสเตียน  320 คนซึ่งเป็นตัวแทนจากกว่า 45 เชื้อชาติ  เชิญขึ้นมาเยี่ยมชมเรือและผูกมิตรกับลูกเรือนานาชาตินี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในการฝึกสนทนาภาษาอังกฤษ  มาเยี่ยมชมและร่วมรับความสนุกสนานจากการแสดงหลากหลายที่จัดโดยลูกเรือ  เพื่อแนะนำเรือดูลอส

         เทศกาลเฉลิมฉลองของเรือดูลอส
รวมอยู่ในค่าเข้าชมเรือดูลอส

1.       วันเสาร์ ที่ 30 กันยายน         เวลา 14.00-17.00 น.
2.       วันอาทิตย์ 8 และ 22 ตุลาคม  เวลา 14.00  -17.00 น.
3.       วันจันทร์  23 ตุลาคม              เวลา 10.00  -17.00 น.

         ห้องการแสดงนานาชาติ
ติดต่อขอรับบัตรเข้าชมฟรี  ได้ที่งานแสดงหนังสือบนเรือดูลอส

1.       วันอาทิตย์ ที่1 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น. ( พร้อมรับฟังเพลงไพเราะจากคณะนักร้องประสานเสียงของดูลอส)
2.       วัน เสาร์ ที่ 14 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.30 น.

        ราตรีหรรษาเยาวชนนานาชาติ
ร่วมรับประสบการณ์นานาชาติจากการแสดงดนตรี  มัลติมีเดีย  ละคร  การเริงระบำ  และการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย เชิญชมการแสดงพิเศษของคณะลูกเรือนานาชาติดูลอส
เข้าชมฟรี
1.       วันเสาร์ ที่ 21 ตุลาคม เวลา 19.00 – 21.00 น.
2.       สถานที่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  35 ถนนประมวล สีลม ( ใกล้สถานีรถไฟสุรศักดิ์ )

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.doulos.org   E-mail : doulos.bangkok@gbaships.org
 หมายเหตุ : มีรถประจำทางให้บริการถึงท่าเรือคลองเตย สาย : 4, 47 ,72,102,162


พี่สาว-น้องชาย

ตุลาคม 15, 2006

Recieved :  Friday, October 13, 2006 2:37 AM
Subject :  เรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้ว ไม่ลังเลที่จะส่งต่อ (ห้ามแอบร้องไห้คนเดียวนะ)  

 ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน
>
>
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> “
ใครขโมยเงินไป” พ่อตวาด
>
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
> “
ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”
>
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมขโมยเองครับ”
>
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
>
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> “
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย”
>
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> ”
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว”
>
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี…
>
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
>
เรียนดีมากนะ”
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> “
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
>
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน”
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> “
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> “
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
>
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> “
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ … วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> “
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที
>

>
ไซท์ก่อสร้าง …
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ”
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
> …
>
ฉันถามเขาว่า
> “
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ”
>
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า “ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> “
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> “
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> “
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม”
>
ฉันถาม
>
> “
ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ…”
>
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
> …
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
>
>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว
>
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
> …
>
เขาบอกกับฉันว่า
> “
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”
>
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
> …
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> …
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> “
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> “
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> “
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”
>
> “
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ”
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี…
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> “
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> “
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ … นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ”
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก … “ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
>
น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


เหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนกรุงเทพคริสเตียน ชั้น ป 1 โดยคุณพ่อ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved :  Wednesday, October 4, 2006 1:28 AM
Subject :  FW: เหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของเด็กนักเรียนกรุงเทพคริสเตียน

น้องเฟย ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
ผู้จากไปด้วยโรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์
Coxsaki หรือ Enterovirus71ไหนเท่านั้นเอง
และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาได้
อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัสเหมือนกับโรคมือ ปาก
เท้า ทุกประการ เป็นคำยืนยันจากอาจารย์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่บำรุงราษฏร์และจุฬา ฯ

ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10 วันเท่านั้นเอง

วันอังคาร์ที่ 5/9/49 ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ป๊าจำได้ น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวดหัว
แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ และนอนต่อ จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน
และทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ

วันพุทธ ที่ 6/9/49 น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง
แต่ไข้ก็ยังไม่ลด ต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก วิ่งเล่นไปมา
ส่งเสียงดังลั่นบ้านจนนึกว่า นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ แต่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 7/9/49 น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่ 38.5 C คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณี คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ และให้ยาแก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ไอ
แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน

วันศุกร์ที่ 8/9/49 น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน และเรียนหนังสือตามปกติ

วันเสาร์ที่ 9/9/49 โรงเรียนหยุด อยู่บ้าน ทานยาตามปกติ แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก
ต้องทานยาลดไข้เป็นระยะ พอทานยาเสร็จ ก็วิ่งเล่น ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ ดูทีวี คุยกับอาม่า
ทานอาหารได้

วันอาทิตย์ 10/9/49 ตอนบ่าย 2.30 มาม๊าไม่สบาย ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่ TK Park
อุทยานการเรียนรู้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน กดลิฟท์เอง
ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์ เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกดลิฟท์เป็นประจำ
พอไปถึงก็เข้าไปเล่นเกมส์อินเตอร์เนท จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น เราก็ออกมา น้องเฟยบอกว่าหิวข้าว
จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen แต่น้องเฟยบอกหนาว หนาวมาก ๆ
ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบวิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล มาป้อนน้องเฟยก่อน จนแกเริ่มดีขึ้น
ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ ได้จนหมดจาน นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด
เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมาก ๆ ไม่ชอบกินผัก จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที

วันจันทร์ที่ 11/9/49 คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กับหมอ วรรณี คนเดิมที่ รพ. กรุงเทพคริสเตียน
วัดไข้ได้ 38.5 C แต่ก็ยังร่าเริง วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ
ที่มาตรวจด้วยซ้ำไป คุณหมอจึงได้จัดยา ยา Zithromax เป็นยาแก้อักเสบ และ ยาลดไข้ 2 อย่าง
พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม คุยเสียงดัง ลั่นบ้านตามเคย

วันอังคาร์ที่ 12/9/49 น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ ตอนเย็นกลับบ้านทานยา Zithromax วันละ 1 ครั้ง
เป็นยาแก้อักเสบ

วันพุทธ ที่ 13/9/49 น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ “ “

Read the rest of this entry »


TO: ผู้ใจบุญ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved: Wednesday, September 27, 2006 3:10 PM
Subject :  FW: ถ้าสะดวกขอรบกวนช่วย FORWARD MAIL ถึงเพื่อนๆด้วย 
 

TO: ผู้ใจบุญ

     
พอดีได้รับ mail จากพี่ๆผู้ใหญ่ฅนอาสา ฝากช่วยประชาสัมพันธ์ บอกต่อๆกันไป หากมีความประสงค์จะช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ร่วมโลกใบเล็ก
อันบูดๆเบี้ยวใบนี้ เรียนเชิญได้ตามรายละเอียดด้านล่าง หรือแจ้งผ่านมายัง กลุ่มฅนอาสา (พัทยา ฟู้ดฯ) เรายินดีรับใช้ด้วยความเต้มใจยิ่ง สืบเนื่องจากได้รับ mail
ฉบับหนึ่งขอความช่วยเหลือสิ่งของบริจาคบ้านเด็กอ่อนพญาไท
ซึ่งรับเลี้ยงเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ขวบ จำนวน 300 กว่าคน
ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและมีเด็ก
ที่ติดเชื้อ HIV ประมาณ 40 กว่าคน
ของที่คนส่วนใหญ่นำมาบริจาคปกติแล้วจะเป็นนมกล่องและนมผง
เนื่องจากตอนนี้บ้านเด็กอ่อนพญาไทได้ขึ้นบอร์ดขอความช่วยเหลือว่าต้องการของ
ตามรายการเหล่านี้มากเป็นพิเศษลองดูนะว่าเราสามารถช่วยอะไรได้บ้างตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน
1.
ผ้าก๊อส (ทำแผล)
2.
ผ้าอ้อมกระดาษ(ทุกขนาด)
3.
ข้าวหอมมะลิ
4.
สายดูดเสมหะ เบอร์8,
5.
นมผงยี่ห้อเอนฟาแลค, โอแล็ค. อะแลคต้า
6.
น้ำเกลือสำหรับทำแผล
7.
ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่
8.
ยาทาเชื้อรา (ผิวหนัง) ผ้าขนหนู
9.
แอลกอฮอล์(ทำความสะอาดแผล 70%)
10.
ผ้าเช็ดหน้าเด็ก
11.
ถุงมือขนาด S, M
12.
เสื้อและกางเกงเด็ก 1-3 ขวบ
13. Asmasol Solution 20 ml. (
ยาพ่น)
14. Prepulsid Susjunsion
15.
รองเท้า และ ถุงเท้าเด็ก 1-3 ขวบ
16.
กระดาษชำระ
17.
สบู่เด็ก
หากว่าใครประสงค์จะบริจาค หรือสอบถามรายละเอียด โปรดติดต่อ
บ้านเด็กอ่อนพญาไท โทร.
0-2246-4092
หรือส่งพัสดุที่ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท
264/1
ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไทเขตราชเทวี กทม 10400
หรือ โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขารามาธิบดี
เลขที่ 026-2-28911-5 ชื่อบัญชี มูลนิธิสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท
ถ้าสะดวกขอรบกวนช่วยFORWARD MAIL ถึง เพื่อนๆด้วยครับ


Taxi

ตุลาคม 4, 2006

Recieved: Wednesday, September 27, 2006 5:56 AM 
Subject:    Fw: Taxi

 เรื่องเล่าวันนี้โดนแท็กซี่มอมยาล่ะ ..วันนี้อ่ะ (  วันเสาร์ ) ได้หยุด 1 วันก็เลยมาจตุจักร พอ
ประมาณ 6.30  น  ก็โบกแท็กซี่หน้าจตุจักรเพื่อที่จะมาวิภาวดีซอย 20
ปกติเป็นคนระวังตัวอยู่แล้ว ขึ้นรถปั๊บ  สิ่งที่ทำสิ่งแรกคือ มองดูทะเบียนรถแล้วก็สังเกตคน
ขับ  อ่านจากฟอเวิร์ดเมล์ต่างๆขอบอกว่าพวกนี้มีประโยชน์มากๆนะคะ
วันนี้ที่รอดมาได้ก็เพราะอ่านเมล์ที่เพื่อนๆ  กรุณาส่งมาให้อ่านนี่ล่ะเคยอ่านว่า  พวกนี้จะชอบเอามือมาอัง
ไว้ที่แอร์หรือไม่ก็หมุนหน้าปัดวิทยุคือไอ้เจ้าคนขับคนนี้
มันทำทั้ง  2 อย่างแล้วขอบอกมันนิ่งมากๆ  ทีแรกพอมันเอามือมาอังที่แอร์ เราก็เริ่มเอะใจว่ามันจะมอม
ยาตรูรึป่าววะเนี่ย  แล้วมันไม่ได้อังแบบหน้าเกลียดนะ
มันแค่เอาปลายนิ้วไปแตะไว้ตรงหน้ากากแอร์อันทางขวาช่วงล่างๆนิดเดียวถ้าคนไม่คอยมองก็อาจจะ
ไม่สังเกต…สักพักมันก็เอื้อมมือไปหมุนหน้าปัดวิทยุอีก….แล้วสักพัก
เราก็รู้สึกวูบ…เร็วมากๆ คือ  หูจะเริ่มอื้อหายใจไม่สะดวก(จะรู้สึกอึดอัดมากๆ) ตาพร่า  และแขนขา
ไม่มีแรง…อาการแบบนี้เราคุ้นเคยนะ…จากการโดนวางยาสลบผ่าตัดมาแล้ว
2  ครั้งทำให้เรามั่นใจว่ามันเป็นยาสลบแน่ๆ  เสี้ยววินาทีนั้นแล้วก็ยื่นหน้าสูดหายใจให้ลึกที่สุด  ตอนนั้น
รถยังวิ่งอยู่ตรงห้าแยกลาดพร้าว )แล้วก็บอกว่า พี่  จอด…ขอลงตรงนี้
แล้วก็ควานหาน้ำมากิน  เพราะอ่านเมล์อันนึงเค้าบอกว่าเราก็เลยคิดว่ามันอาจจะช่วยให้เราดีขึ้นแล้วมัน
ก็ช่วยจริงๆ  …..อาการวูบหายไปแขนขาเริ่มมีแรง  มีอาการมึนหัวเข้ามาแทนที่
ทั้งๆที่ก่อนขึ้นรถ  สมองปลอดโปร่งมาก….อย่างที่บอกอ่ะ  มันนิ่งมากๆ  แล้วมันคงจะรู้ว่าเรารู้ตัว
แล้ว   มันคงอยากให้เราลงจากรถมันเหมือนกัน  เพียงแต่ตอนนั้นรถอยู่เลนขวาสุด
เข้าซ้ายไม่ได้  มันก็บอกว่า  ลงได้จะลงเลยมั๊ยแล้วก็ทำท่าจะหักพวงมาลัยกลับรถไปจอดให้ฝั่งตรง
ข้าม ตอนนั้นนึกได้ว่า  เรามีกล้องดิจิตอลอยู่ ……  ก็เอาวะบอกมันว่าไม่ต้อง ….
ไปส่งให้ถึงที่น่ะแหละ    แล้วเราก็กดโทรศัพท์หาพี่บอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่แยกลาดพร้าวนะกำลังจะไปถึง
ตอนนี้อยู่ในแท็กซี่ อีก 10 นาทีจะไปถึง  ออกมารับด้วยล่ะ  แท็กซี่เขียวเหลืองนะ
เลขทะเบียนมข.  768 ช่วยจำด้วย อีก 10 นาที  ใกล้ถึงแล้วจะโทรหาอีกที เราเปิดกระจกไว้ตลอด
แล้วนั่งให้ชิดประตูมากที่สุด  เราก็หยิบกล้องขึ้นมา แต่ไม่กล้าถ่ายภาพนิ่งเพราะตอนนั้น
ก็เกือบทุ่มแสงน้อยแล้วอีกอย่างไฟถนนมันสว่างกว่าในรถ  ถ้าใช้แฟลช มันรู้ตัวแน่ก็เลยปรับเป็นถ่ายวีดีโอ
แต่จะไม่ส่องที่ตัวมันโดยตรงแพนกล้องไปเรื่อยๆหยุดอยู่ที่มันเป็นระยะ
แล้วมันคงจะเป็นมืออาชีพ … ที่ตลอดเวลา  มันไม่หันหน้ามาให้เราเห็นเลยข้างๆก็ไม่หันอ่ะ  มีแต่
เหลือบๆมองที่กระจกบ้าง  …แล้วภาพที่ถ่ายออกมาก็ค่อนข้างมืดแต่ก็พอระบุรูปพรรณได้เหมือน
ได้  เพราะมันค่อนข้างผมหยิกและผอม
 ….
ก็มาถึงที่หมาย  ตรงนั้นมีรปภนั่งอยู่หลายคน  พอลงจากรถแล้วมันก็ไม่ยอมไป เราก็เลยเดินไปตรงที่มี
รปภนั่งอยู่เยอะๆ  มันก็เลยขับออกไป….โทรไปเล่าให้พี่คนนึงฟัง
เค้าก็บอกลองโทรไปที่ 1644 ก็  เลยเล่าให้เค้าฟังสักพักก็มีคนโทรกลับมาบอกว่า ให้เราพูดออน  แอร์
กับคุณพรสวรรค์สวพ. 91ร่วมด้วยช่วยกัน  ตื่นเต้นเล็กๆ  เค้าก็ถามถึง
วิธีเอาตัวรอดไม่รู้จะมีใครเอาไปใช้ได้มั๊ยแต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ก็ได้นะ….ตอนนี้กลับมาถึงบ้าน
โดยปลอดภัยแต่ก็รู้สึกคลื่นไส้และมึนๆอยู่   ปกติไม่ค่อยชอบนั่งแท็กซี่เท่าไหร่
เพราะก็กลัวๆเรื่องพวกนี้เหมือนกัน  ไม่นึกว่าจะเจอจริงๆ อืมนะ ….ใกล้ตัวมากๆ เพื่อนๆ  ก็ระวัง
ตัวกันด้วยนะ


วัดพระบาทน้ำพุ

ตุลาคม 4, 2006

Recieved:  Wednesday, September 27, 2006 2:34 AM
Subject :  Compassion Needed

ถ้าไม่ช่วย อีกไม่เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง !!!

ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ  จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปีแล้ว  ทั้งๆที่ท่านมีพร้อมทุกอย่าง  จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรจากออสเตรเลีย  แต่ท่านก็เสียสละได้  เพียงเพราะท่านเห็นว่า  ผู้ป่วยโรคเอดส์นั้นไร้ที่พึ่งจริงๆ  ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อเอดส์  ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัวเองได้เลย  หลวงพ่อท่านเห็นว่า  ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่านี้  ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้ 

 ทุกวันนี้  ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน  ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณสามล้านกว่าบาท  แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา  เห็นว่าลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง  ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น

 เคยโทรไปถามที่วัดเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน  พนักงานก็บอกว่า  รายรับเท่าเดิม  แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน  ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็แสนจะแพง  แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น  ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ได้  เนื่องจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดเสมอ  ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป  ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคนชราและเด็กที่คนในครอบครัวเสียชีวิตเพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล  

  ตอนนี้ ต้องมีการส่งผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้างแล้ว  และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัวลง!!!!!!

หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่กรุงเทพฯทุกสัปดาห์  ต้องไปหลายที่ต่อหนึ่งวัน   เพราะรอคนไปช่วยเหลือถึงวัดไม่ไหว  เห็นแล้วก็เหนื่อยแทนจริงๆ

 เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มากเป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว  และแนวโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ   สวนทางกับอายุของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลงทุกที  อยากให้พวกเราเข้าใจว่า  เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน 

พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ 

ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวันเสาร์ 

ตั้งแต่ 8.30 น. -10.00 น.  ที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์ 

ข้างๆอาคารบีอีซี เทโร  สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด), ยา, ผ้าอ้อม, สำลี, ของอุปโภคบริโภคต่างๆ, หนังสือ, เสื้อผ้า ฯลฯ

หรือบริจาคผ่านธนาคารให้กับ ” กองทุนอาทรประชานาถ ” ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก  รายละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้

ธ.กรุงเทพฯ สาขาลพบุรี  289-0-84697-1

ธ.ทหารไทย สาขาลพบุรี  304-2-41277-9

ธ.กสิกรไทย สาขาถนนสุรสงคราม  174-2-39000-0

ธ.ไทยพาณิชย์  สาขาลพบุรี   579-2-33730-7

ธ.กรุงศรีอยุธยา  สาขาลพบุรี  111-1-47300-7

ธ.นครหลวงไทย  สาขาลพบุรี  340-2-14976-0

ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0

และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วยได้เดี๋ยวนี้ คือ  การบอกต่อถึงเรื่องนี้ และช่วยส่งเมล์นี้ไปให้คนที่รู้จักทุกๆคน

ขอขอบคุณแทนวัดพระบาทน้ำพุล่วงหน้าด้วยค่ะ


อ่านแล้วมีประโยชน์

กันยายน 26, 2006

Recieved : Tuesday, September 12, 2006 7:34 PM
Subject : FW: Fwd: FW: อ่านแล้วมีประโยชน์

>> >เมื่อวานดูข่าวช่อง 3 มีข่าวนึงที่ทำให้ต้องหันมาตระหนักถึงบางอย่างใกล้ตัว

>> 1. เรื่องขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำดื่มที่ขายๆ กันตามห้างสรรพสินค้า
>> เซเว่นอีเลฟเว่น รวมทั้งที่ไปเติมน้ำมันครบ 800 แถมน้ำ 1 ขวด อะไรทำนองนั้น
>> ปัจจุบันเพิ่งมีคนตายเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า
>> โดยสารพิษชนิดหนึ่ง สามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม
>> เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว
>> อายุการใช้งานสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรเสียดาย นำมาบรรจุน้ำดื่มอีก
>> รวมทั้งน้ำที่มากับขวด หากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์
>> ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดที่ๆ ร้อน ๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้
>> ดังนั้นเมื่อเปิดดื่มแล้ว
>>
>> ควรดื่มให้หมดภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ
>> ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องจะปลอดภัยกว่า >>
>>
>> 2. ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก
>> มีข่าวแจ้งมาว่ามีนักจุลชีววิทยา คนนึงในต่างประเทศ เค้าสังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ
>> ทีแรกเค้าคิดว่าเป็นคราบสบู่
>>
>> เค้าลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำๆ ดังกล่าวเป็นแบตทีเรียชนิดร้ายแรง ที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม
>> การเรอ การไอ จาม ของมนุษย์เรานี่แหละ เป็นอาหารอย่างดีของมัน เค้าแนะนำว่า
>> เราควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้
>>
>> หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี นอกจากนี้เค้าเตือนว่า อะไรที่เป็นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมียนกัลลลล….ล
>>
>> โดยเจ้าเชื้อโรคเนี่ยมันจะเข้ามาทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล
>> คนแก่ คนที่ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน >>
>>
>>
>> 3. เรื่องคนนอนดึก
>>
>> เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
>> ขับของเสียตามอวัยวะต่างๆ ย่อยอาหารให้หมด
>> ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ย แน่นอน
>> ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ
>> แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม
>>
>>
>> ควรปฏิบัติดังนี้
>> 3.1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก
>> 3.2 หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้
>> 3.2 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้งอุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ เหมียน กัลลล…ล
>>
>> 3.3 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า
>> 3.4 ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า
>> 3.5 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย
>> ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร
>> จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้
>> การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก
>> ****ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น – 9.00 น.
>>
>> เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ
>> ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ

>> อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสีย ออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด
>>
>> ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจาก ถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน
>> ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
>> ห้ามกินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก
>>
>> นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ
>> ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า
>> ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า
>> มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่ายๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ
>>
>> มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบตทีเรียชนิดไม่ดี ออกจากลำไส้เรา ควรกิน อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อย
>>
>> พืชผักสีเขียว มีคลอโรฟิว ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี
>> เซลล์แต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง
>>
>> ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่น้ำส้มสายชู 45 นาทีนะจ๊ะ
>>
>> ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ ด้วยความปรารถนาดี
>> ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสร็จจ้า
>> ปล. ข้อมูลทั้งหมดมีที่มาไม่ได้โมเมนะจ๊ะ


เกาะช้าง

กันยายน 26, 2006

อ่านแล้วรู้สึกเป็นห่วง อยากจะเตือนคนที่กำลังจะไปเที่ยวที่เกาะช้างคะ
วันแม่ที่ผ่านมา 12 สิงหาคม 2549 ครอบครัวเรา ญาติและเพื่อนพ่ออีกประมาณ 7 – 8 ครอบครัว
ไปเที่ยวกันที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ไปกันประมาณ 40 คน
เริ่มเดินทางตั้งแต่เช้ามืด ถึงที่เกาะช้างประมาณเที่ยงกว่าๆ
พอไปถึงที่พัก ก็ไปจัดของเตรียมพร้อมที่จะลงทะเล
จากที่พักต้องนั่งรถไปประมาณ 5 นาที
ซึ่งพอพวกเราไปถึงทะเลก็เช่าเสื่อกับเก้าอี้นั่งกัน
พวกผู้ใหญ่เค้าก็นั่งตากลมกันไป ส่วนพวกเด็กผู้ชายก็ไปเตะบอล
เด็กผู้หญิงบางคนรวมทั้งเราด้วยก็ลงไปเล่นน้ำทะเลกัน
แต่ก่อนที่จะลงน้ำทะเลก็มีคนเตือนว่า “อย่าไปเล่นน้ำไกลนะ” ซึ่งเราก็ไปยินกันนะ
แรกๆก็ไปเล่นเตะน้ำกันเฉยๆ แล้วก็เริ่มเดินไปลึกกว่าเดิมนิดหน่อย ประมาณเข่า
เริ่มกวักน้ำใส่กัน แต่คลื่นที่นั่นแรงมากเลยอ่ะ
ลงไปแรกๆตกใจมากอ่ะ เพราะว่าไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนั้น …
แรงขนาดว่าทำให้ผู้หญิงตัวใหญ่ๆอย่างเราล้มได้อ่ะ … เหอะๆ คิดดูละกัน
เล่นไปสักพักคลื่นเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ
มารู้สึกตัวอีกทีน้ำจากระดับเข่าก็มาอยู่ระดับเอวแล้ว
คนที่ไม่ไหวก็เริ่มขึ้นหาดกันไปทีละคนสองคน
เหลืออยู่ 5 คนแล้วแต่ละคนก็เป็นผู้หญิงหมดมี ม.5 คนนึง
ที่เหลืออายุ 20 เท่าเราหมด(ทุกคนว่ายน้ำเป็นหมด)
พวกเราก็เล่นโดดน้ำอีกประมาณ 3 – 5 ครั้ง
มารู้ตัวอีกทีคลื่นก็กลายเป็นมาอยู่ระดับอก
แบบว่าคลื่นทุกคลื่นที่ซัดมาเนี่ยสูงกว่าหัวเราทุกคลื่นอะ
เพราะฉะนั้นต้องกระโดดทุกครั้งที่มันมา
ถ้าไม่โดดก็จะจมอยู่ใต้คลื่น
เพื่อนเราคนที่อยู่ใกล้หาดมากที่สุดก็เริ่มพูดว่า
“เฮ้ย … ไม่ไหวแล้วอ่ะ เราขึ้นก่อนนะ”
เราก็รู้สึกว่ามันชักไม่ดีอยู่เหมือนกันขึ้นด้วยดีกว่า
พอเดินไปสัก 3 ก้าวก็โดนคลื่นลูกใหญ่ซัดออกมา
มารู้ตัวอีกทีก็ยืนไม่ถึงแล้วอ่ะ
แบบว่าตกใจมากแต่ก็ยังไม่คิดอะไร
ก็ลอยตัวสักพักแล้วพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง
แต่ว่ายเท่าไรก็ถึงอ่ะ เพราะโดนคลื่นยักษ์ซัดออกมาตลอด
คลื่นยักษ์ ยักษ์จริงๆ อ่ะ
โดนแบบติดต่อกันประมาณ 3-5 ครั้ง
แบบว่าแถบไม่ได้หายใจเพราะมาติดกันไม่หยุด
ตอนนั้นที่รู้ก็คือว่ายอย่างเดียว
แล้วหลังจากคลื่นยักษ์ผ่านไปแล้ว
ก็ยังมีคลื่นลูกเล็กมาอย่างต่อเนื่องแต่ลูกเล็กของที่เกาะช้าง
เนี่ย ก็เท่ากับลูกใหญ่ที่พัทยาหรือชะอำอ่ะ
พอเราได้สติอีกทีเราก็พยายามมองหาเพื่อนเรา
ว่ามันยังอยู่กันหรือป่าว เราก็หวังว่ามันจะอยู่ตรงที่ๆ ยืนถึง
เพราะว่าตอนนั้นเราคิดว่าเราอยู่ไกลจากหาดที่สุด
หวังว่าเพื่อนๆ จะไม่โดนน้ำซัดออกมา
แล้วไปตามคนมาช่วยเรา
แต่ไหนได้ … เพื่อนเราทั้ง 4 คนก็โดนแบบเราอ่ะ
ตอนนั้นในใจคิดว่า “แม่..ง โดนหมดทุกคนอย่างงี้ใครจะช่วยกูรว่ะ”
แต่เราได้ยินเพื่อนเราตะโกนว่า
“เฮ้ยๆ … อย่างงี้ไม่ไหวแล้วนะ / ไม่เอาอย่างงี้นะ
เฮ้ย … ทำไงดี” ซึ่งในใจเราก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน
แต่เราเป็นพวกคิดแต่ไม่ชอบพูดออกมา
ใจก็เริ่มแย่ คิดเหมือนกันว่าจะรอดมั๊ย
จะมีคนเห็นเราไหม เพราะเรารู้สึกได้ว่าเรา
มีแต่หัวที่พ้นออกมาทะเลอ่ะ
ตาก็มองหาเรือไปด้วย แต่หันไปอีกทีได้ยินเพื่อน
ตะโกนออกมาว่า “ช่วยด้วย!!!  ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ในใจก็อยากจะเข้าไปช่วยนะ
แต่แค่ตัวเราก็จะเอาตัวไม่รอดแล้วอ่ะ
ตอนนั้นเราพยายามงัดทุกอย่างที่เราเรียนว่ายน้ำทั้งหมดมาใช้

ตั้งแต่ฟรีสไตล์ แต่พอเราว่ายแล้วเราก็รู้สึกว่าเหนื่อยอ่ะ
เหนื่อยมากว่ายเท่าไรมันก็ไม่เข้าหาดอ่ะ
จนจะหมดแรงอยู่แล้ว เราเลยเปลี่ยนท่าเป็นท่าลูกหมาตกน้ำ
เพื่อประคองตัวไปก่อนแต่ก็มาคิดได้อีกทีว่า
ว่ายแล้วไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันจะขยับเลย
เหมือนกะว่าเราว่ายน้ำอยู่กับที่
เราว่ายน้ำไปอีกสักพักเราก็เริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
รู้สึกว่าแรงหายไปหมดไม่รู้จะทำยังไง

ก็คิดว่าต้องตายชัวร์ ก็ปล่อยวางทุกอย่างแล้วด้วยแหละ
แบบว่าแรงหมดจริงๆ อ่ะ เลยปล่อยตัวเองให้จมไปกับน้ำ
แต่ก่อนที่จะตัดใจก็ลองเอาขาแตะๆ ดูว่าขาถึงพื้นบ้างป่าว
ซึ่งเท่าที่ลองแตะดูแล้วเนี่ย ไม่มีความรู้สึกว่าขาจะถึงพื้นเลย
รู้สึกว่าหมดกำลังใจอย่างมาก
ในใจตอนนั้นคิดหลายอย่างเลยแหละ คิดว่า
“ตาย …ตาย … ตายอย่างเดียว
ไม่รอดแน่ 0.000001 เลยแหละ
แอบคิดภาพหลอนต่างๆ นานา
ภาพหลายๆอย่างพุดขึ้นมาในหัว ตั้งแต่คนสุดท้ายที่คุยโทรศัพท์ด้วยกันว่าเหมือนการสั่งลาเลย
เพื่อนที่โทรมาแล้วเราไม่ได้รับโทรศัพท์เค้าเพราะว่าเราหลับอยู่ในรถ
เพื่อนสนิทจะว่าอย่างไงถ้าเห็นข่าวเราในหน้าหนังสือพิมพ์
เพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน ที่เค้าสั่งให้เราหางานให้เค้า
แต่เรายังไม่ได้หาให้เค้าสักที คิดว่าเค้าจะโมโหไหม
เพราะว่าเราอาจจะไม่ได้ทำให้เค้า
แล้วคิดว่าจะมีใครหาให้แทนไหม…

แล้วพ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวเราอีกละ
อยู่ดีๆเราก็คิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญนะ
แต่คิดไม่ออกว่าเป็นวันอะไร รู้แต่ว่าต้องไม่ตายอ่ะ
ห้ามตาย”
จากนั้นพอคิดได้อย่างงั้นเราเลยว่ายกลับขึ้นมาใหม่
พยายามว่ายด้วยท่าฟรีสไตล์ แต่ก็เหนื่อยมากๆอยู่ดีอ่ะ
เหนื่อยแล้วก็กลัวด้วย ก็อย่างที่บอกนะ
ว่าเราเป็นพวกไม่ค่อยชอบพูดความในใจออกมาเท่าไร
แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ไหวจริงๆ อ่ะ
ไม่ไหวจนต้องร้องออกมาว่า
“ช่วยด้วย ไม่ไหวแล้ว จะตายอยู่แล้วใครก็ได้ช่วยที”

แต่พอมองไปเจอเพื่อนๆ มันก็ยังไหวกันอยู่
เลยมีกำลังใจว่า พวกมันยังว่ายกันไหวเลย
แล้วทำไมเราจะไหวไม่ไหวว่ะ สู้โว้ย
แล้วก็เห็นเพื่อนมันยกไม้ยกมือ
เราก็ทำตามอ่ะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่เห็น

สักพักเราเลยคิดว่าเปลี่ยนเป็นท่ากรรเชียงดีกว่า
ถึงท่ากรรเชียง คลื่นมันต้องซัดโดนหน้า
แต่พอมาคิดอีกทีมันก็ช่วย save พลังเราได้เยอะนะ
เลยลองดูเราก็พยายามว่ายกรรเชียงสุดชีวิต
น้ำก็ซัดเข้าหน้านะแต่ก็ทนเพื่อความอยู่รอด

ว่ายได้สักพักหันไปเห็น “ห่วง”
เพื่อนๆเกาะกันเต็มห่วงเลย
เฮ้ยแล้วทำไมเราไม่ได้เกาะอยู่คนเดียวว่ะ
พี่คนที่เค้ามาช่วยเค้าก็ตะโกนมาว่า
“มานี่ … ว่ายมานี่ เดี๋ยวจมหายไป มานี่เร็ว”
เราก็ว่ายเข้าไปหาเค้า พอไปเกาะห่วงได้แล้วก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ
แต่ปัญหามันไม่ได้จบแค่นั้นนะซิ …
เพราะว่าหลังจากที่มีห่วงแล้วเนี่ย ก็พยายามว่ายแล้วว่ายอีกอ่ะ
แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะขยับเท่าไรเพราะว่าว่ายเข้าไป คลื่นมันก็ซัดออกมาอีก
คลื่นแรงมากเพราะงั้นพวกเราก็ต้องเกาะห่วงไว้อย่างแน่นหนา
เพราะพวกเราหมดแรงโคตรๆแล้วอ่ะ เพื่อนเราคนนึงแบบว่าเกือบหลุดอ่ะ
แต่โชคดีที่พี่ใจดีคนนั้นคว้าแขนเพื่อนเราไว้ทันอ่ะ เลยดึงกลับมาได้

เราว่ายไปพักนึงรู้สึกว่าตัวเอง เหยียบโดนทรายก็พยายามเอาขาเจาะกับทรายใต้น้ำ
แล้วก็ตะกรุยเต็มที่เลยอ่ะ แต่พอคลื่นมันมามันก็พัดเราออกไปอีกแล้วอ่ะ….
สักพักพ่อของเพื่อนที่จมน้ำด้วยกันเค้าก็ว่ายตามมาเอาห่วงมาอีกอันเป็น 2 อัน
แล้วก็บอกให้แยกแยกกันเกาะ แบ่งเป็น 2 ห่วง ตอนกำลังจะแบ่งเนี่ยอยู่ดีๆ
คลื่นก็ซัดมาจนห่วงมันหมุนกลับ ส่วนเราเกาะห่วงอย่างแน่นหนา
พอคลื่นซัดห่วงกลับเราก็ไม่ยอมปล่อยไง เกาะไว้ตลอด

ทำให้เราไปอยู่ใต้น้ำอย่างสมบรูณ์ เพื่อนๆ แอบตกใจว่าหายไปไหน
แต่ตอนหลังก็โผล่ขึ้นมาได้ อยู่ใต้ห่วงเกือบตาย แล้วก็ทำให้เราไปอยู่ห่วงพ่อของเพื่อนแทน
หันไปอีกทีมีห่วงอันที่ 3 ซึ่งพี่ชายของเพื่อน(คนเดิม) มาช่วยอีกคนนึง
คราวนี้เค้าก็แยกๆกันไปซึ่งก็อยู่กันไม่ไกลมากอ่ะ ประมาณ 2-3 เมตร
ตอนนี้ก็เหลือเราก็พ่อของเพื่อน ก็พยายามว่ายต้านกับแรงคลื่น
แต่ก็ไม่ไหว แต่ก็พยายามสู้สุดๆ ว่ายไปสักพักรู้สึกว่านำคนอื่นอยู่อ่ะ (เหมือนว่ายน้ำแข่งกันเลย)
พ่อของเพื่อนก็ให้กำลังใจเต็มที่เลย บอกว่าจะถึงแล้วเหยียบทรายแล้ว
แต่เราไม่รู้สึกอย่างงั้นนะ แต่ก็พยายามวิดน้ำสุดชีวิต

จากที่ตอนแรกก็รู้สึกนะว่าใกล้ถึงแล้วอ่ะ
อยู่ดีๆ … คลื่นยักษ์มาจากไหนก็ไม่รู้ (อีกแล้วหรอเนี่ย)
มันพัดเอาเรากับพ่อของเพื่อนออกอีกแล้วครับท่าน

เหนื่อยมากอ่ะเหนื่อยสุดๆ หมดทั้งแรง หมดทั้งกำลังใจ
แต่พ่อของเพื่อนก็บอกว่าไม่เป็นไรนะ
ว่ายเข้า ถีบขาเข้าไว้
เราก็ทำเต็มที่ หน้าเราแอบเจื่อนๆ
หมดกำลังใจมาก
เหมือนต้องนับ 1ใหม่อีกหลายๆครั้ง

เห็นเพื่อนๆ ถึงฝั่งกันแล้ว
แต่เราเนี่ยโดนพัดออกอีกแล้ว
แต่ในที่สุดเราก็ถึงฝั่ง
หมดแรงสุดๆ เพื่อนๆ ผู้ชายคนอื่นและก็พี่ๆ เค้าก็มายืนรอ
แล้วก็หิ้วปีกเราคนละข้างอ่ะ

แม่เราก็ยืนรอเรา พอเค้าเห็นเราเค้าก็ร้องไห้ไปว่าเราไป
“บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้ไปไกลๆ พูดแล้วไม่ฟัง”
พอเห็นแม่เราร้องไห้แค่นั้นแหละ
จากตอนแรกไม่มีแรงจะร้องไห้ ก็ร้องออกมาหมดเลยอ่ะ
น้ำมูก น้ำหู น้ำตา ไหลออกมาพร้อมๆกันอ่ะ
มันทั้งเสียใจที่ทำให้แม่เราร้องไห้
แล้วก็ทั้งดีใจที่รอดมาได้
จากตอนแรกที่คิดว่าโอกาสรอดแทบจะเป็น “ศูนย์”

ส่วนพี่ที่เค้าช่วยเราขึ้นมานั้น
พวกเราก็ตื่นเต้นและตกใจไปพร้อมกัน
เลยลืมที่จะขอบคุณและถามชื่อพี่เค้า
แต่เราเห็นว่าพี่เค้าอ้วกออกมาเป็นน้ำทะเลเลยแหละ
แต่เราจะไม่ลืมพี่เค้าไปชั่วชีวิตเลย …
เฮ้อ~~~ หลังจากขึ้นมาได้สักพัก
หันไปก็เจอไทยมุงและฝรั่งมุงแต่เราก็ไม่ค่อยสนใจ
แล้วเราก็ไปหาหมอ รักษาเสร็จ …
หมอก็บอกว่า มีตายทุกอาทิตย์อ่ะ
แต่ที่เกาะเค้าปิดข่าว หมอก็ไม่อยากให้เล่นนะ
แต่หมอทำอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าหมอเป็นคนท้องถิ่น
พูดอะไรไปจะไม่เข้าหูคนท้องที่เปล่าๆ
หมอบอกว่าต้องให้คนที่ไปเที่ยวเนี่ยหละ
ช่วยหมอป่าวประกาศ
หมอก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเหมือนกัน
วันที่ 12 สิงหาคม ตอนช่วงเช้า ก็มีชาวเนเธอร์แลนด์อายุ 30 ปี
เสียชีวิตเพราะจมน้ำเหมือนกัน
ก่อนหน้าเราก็มีเด็กวัยรุ่นอีก 4 คน
เป็นเหมือนเราแต่มีคนนึงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่
อาทิตย์ที่แล้วก็มีอีก 2 คน
ที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะคลื่นที่นี่
มีทุกอาทิตย์จริงๆอ่ะ …


ไขสันหลังของแม่ไม่ผลิตเลือด

กันยายน 26, 2006

>>>>>>>ช่วยส่งต่อด่วนมาก
>>>>>>>.. อย่าเพิ่งลบเมล์เลยนะครับ ช่วยกัน forward หน่อยนะครับ
>>>>>>>พี่สาวผมมีอาการ ครรภ์เป็นพิษ
>>>>>>>หลังจากที่ตัดสินใจผ่าตัดเอาเด็กออกอย่าง
>>>>>>>เร่งด่วน ปรากฎว่าลูกแข็งแรง แต่ไขสันหลังของแม่ไม่ผลิตเลือด
>>>>>>>อยากจะขอบริจาค เลือดกรุ๊ป A ด่วนมากๆ
>>>>>>>ซึ่งคน 10 คนที่บริจากเลือด จะสามารถผลิตเลือดได้เพียง
>>>>>>>1 ถุง เท่านั้น
>>>>>>>ขอบคุณทุกๆคนที่สร้างโอกาสให้เด็กน้อยได้เห็นหน้าแม่
>>>>>>>บริจาคได้ที่ คลังเลือด ร.พ.จุฬาฯ
>>>>>>>เพื่อนางสาวจรรยา ตันคงจำรัสกุลร
>>>>>>>มีข้อสงสัยโทร ถามได้ที่ (01)822-8111หรือ (01) 831-3990
>>>>>>>ช่วย forward ต่อไปให้ผู้ที่ท่านคิดว่าสามารถบริจาคได้ด้วย
>>>>>>>ขอบคุณมากๆครับ


Support clean energy!

กันยายน 8, 2006

Recieved : Thursday, September 7, 2006 4:55 AM
Subject : Take action to support clean energy!

7 กันยายน 2549 – อาสาสมัครกรีนพีซกว่า 20 คนได้ทำกิจกรรมขัดขวาง
การขนถ่ายถ่านหินจากออสเตรเลียเข้าประเทศไทยที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน
บีแอลซีพี (BLCP) จ.ระยอง เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน

กรีนพีซ จึงขอเชิญท่านสมาชิกร่วมรณรงค์ไปพร้อมกับอาสาสมัครของเรา
โดยการลงนามเรียกร้องไปยัง คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
เพื่อตอบรับนโยบายพลังงานสะอาดให้มีสัดส่วนอย่างน้อยร้อยละ 10
ภายในปี 2553 (ปัจจุบันมีน้อยกว่าร้อยละ 1)

ร่วมลงนาม กรุณาคลิก
http://202.44.55.51/solargen_org/

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาคลิก
http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/607485

ขอแสดงความนับถือ

ฝ่ายบริการสมาชิก
0-2271-4832
greenpeace@loxinfo.co.th

7 September, 2006 – 20 Greenpeace activists took action by shutting
down the port of the controversial BLCP coal power plant to prevent
the unloading of Australian coal into Thailand.

As the impacts of climate change continue to increase in severity and frequency, consequentially
resulting in extreme weather events
that, threatens to empty the coffers of economies in Southeast
Asia.

We would like you to join this action with our activists by signing the petition.

Please click here :
http://202.44.55.51/solargen_org/

For more information :
http://www.greenpeace.org/seasia/en/news/coal-climate-change-clean

Sincerely yours,

Supporter Services Department
662 271 4832
greenpeace@loxinfo.co.th


โครงการแพทย์อาสาสมัครศัลยแพทย์นานาชาติ

กันยายน 8, 2006

Recieved: Thursday, September 7, 2006 10:47 AM
Subject : Fwd: FW: Fwd: Doctor Volunteer -โครงการแพทย์อาสาสมัครศัลยแพทย์นานาชาติ

โครงการแพทย์อาสาสมัครศัลยแพทย์นานาชาติจาก สหรัฐอเมริกา จะมาเมืองไทย
เพื่อช่วยผ่าตัดคน
พิการถวายเป็นพระราชกุศล เเด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เเละสมเด็จพระราชินีนาถ
โครงการแพทย์พยาบาลอาสาสมัครนานาชาติ เเละรพ.ภูมิพล ได้ร่วมมือกัน
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ
รักษาพยาบาลผู้ป่วยจากท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ และสี่จังหวัดภาคใต้ จำนวน
350-400 คน
ระหว่างวันที่ 11-20 มกราคม 2550 โดยจะใช้ รพ.ภูมิพล เป็นศูนย์การรักษาฟรี
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้
จ่ายใดๆทั้งสิ้น
สำหรับแพทย์ที่จะมาทำการรักษาในครั้งนี้เป็นกลุ่มศัลยแพทย์พยาบาลไทยนานาชาติ
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ
สาขาต่างๆ 50 ท่าน จากมหาวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา อาทิ มหาวิทยาลัย
โคลัมเบีย,มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียฯลฯ ได้ร่วมกันออกทุนทรัพย์ส่วนตัวมาช่วย
เพื่อผ่าตัดรักษาผู้ป่วย
พิการ โดยมีรายละเอียด ของผู้ที่สามารถขอเข้ารับการรักษา ได้ดังนี้
1.ผู้ป่วยมีโรคทางศัลยกรรม ต่อไปนี้
1.1 ปาก-จมูกแหว่ง (CLEFT LIP) อายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
1.2 เพดานทะลุ (CLEFT PALATE)อายุตั้งเเต่ 4 เดือน – 20 ปี
1.3 ใบหูพิการ (EXTERNAL EAR DEFORMITY)อายุตั้งเเต่ 4 เดือนขึ้นไป
1.4 ความพิการแต่กำเนิดอื่นๆ(ALL OTHER CONGENITAL ANOMALIES)
1.5 แผลเป็นจากไฟไหม้ นำร้อนลวก (BURN SCAR CONTRACTION)ของ มือ,เท้า, คอ
เเละ
อื่นๆ
1.6 ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ เเละหน้าท้อง (INQUINAL & UMBILICAL HERNIA)
2. ผู้ป่วยมีโรคทางตา ต่อไปนี้
2.1 ต้อกระจก
2.2 ตาเข
2.3 หนังตาตก
2.4 ความพิการทางตาที่ต้องรักษาโดยการผ่าตัด

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดในครั้งนี้ ขอให้ติดต่อมาที่

มริสสา วิริโยทัยาร

โทร 01-6222706

ตั้งเเต่บัดนี้เป็นต้นไป (ขอให้รีบส่งชื่อมาโดยเร็วที่สุด
เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ จะต้องใช้เวลาใน
การเตรียมการล่วงหน้าด้วยค่ะ)

ซึ่งถ้าเป็นไปได้ อยากให้ส่งชื่อมาภายในเดือน ตุลาคม นี้ค่ะุด

ขอรบกวนทุกๆ ท่าน ช่วย Forward email นี้ ให้มากที่สุด
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม โดย
เฉพาะประชาชนทางสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางแพทย์กลุ่มนี้
ต้องการช่วยเหลือมากครับ


แจกรถให้คนพิการ

กันยายน 8, 2006

Recieved: Thursday, September 7, 2006 10:49 AM

Subject :  Fwd: FW: Fwd: FW: FWD: ช่วยกระจายข่าวแจกรถให้คนพิการด้วย

 

ช่วยกระจายข่าวแจกรถให้คนพิการด้วยแจกฟรี  รถWheel  Chairและรถสามล้อโยกสำหรับคนพิการ

  สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.) ร่วมกับสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหว (ส.พ.ค.)

ขอเชิ­ ผู้พิการทุกท่านที่มีความประสงค์ ต้องการรถวีลแชร์และรถสามล้อโยกฟรี  ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

ทั้งสิ้นเพียงส่งเอกสาร

1.สำเนาทะเบียนบ้าน  พร้อมเซ็นรับรองสำเนา

2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  พร้อมเซ็นรับรองสำเนา

3.สำเนาสมุดประจำตัวคนพิการ  พร้อมเซ็นรับรองสำเนา

4.รูปถ่ายเต็มตัวเห็นสภาพความพิการชัดเจน1รูป

5.ให้ระบุที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก  พร้อมเบอร์โทรศัพท์ (ถ้ามี) มาที่สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย

73/7-8ซอยติวานนท์8ถนนติวานนท์  ตำบลตลาดขวัม อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี11000โทรศัพท์

0-2951-0445,0-2584-3993 , 0-2951-0447โทรสาร0-2951-0567หรือที่สมาคมคนพิการทาง

การเคลื่อนไหว802/410หมู่12หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค  ซอย10/4ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา

จังหวัดปทุมธานี12130มือถือ0-1735-2316,  0-1372-4201โทรสาร0-2990-0331

หมายเหตุ  รถวีลแชร์และรถสามล้อโยกมีเพียงพอสำหรับทุกท่านที่ติดต่อเข้ามา


ลักพาตัว

สิงหาคม 31, 2006

Recieved: Wednesday, August 30, 2006 12:02 AM
Subject: เตือนภัย…

เมื่อเวลาประมาณ 23.30 ของคืนวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ฉันได้
เดินลงมาจากอพาร์ตเมนท์ในซอย สุขุมวิท 22 เพื่อลงมาหาข้าวทาน ซึ่งที่ผ่านมาก้อไม่เคยเกิดปัญหา
อะไรเลย สภาพการจราจรในขณะนั้น รถที่มุ่งหน้าไปทางต้นซอยสุขุมวิท จะติดมาก ขยับไม่ได้ เนื่องจาก
มีรถบัสของทางโรงแรมอิมพีเรียลควีนปาร์คเข้าออกอยู่ณ.เวลานั้น ฉันเดินผ่านร้านคาราโอเกะซึ่งมีสาว
คาราโอเกะนั่งอยู่ 2 คน หนึ่งในนั้นได้ตะโกนบอกยามฝั่งตรงข้ามว่า ยาม ! ยาม ! ช่วยดูรถ ป้าย
ทะเบียน ณ 6388 ที ! มีเสียงคนร้องให้ช่วยอยู่ในรถ! ฉันได้แต่มองตามไปยังรถที่ว่า คนขับผู้ชายและ
คนนั่งข้างสองคนพยายามแซวฉัน ฉันไม่ได้สนใจ และก้อไม่ได้ยินเสียงอะไร ในใจตอนนั้นคิดแต่ว่า สาว
คาราโอเกะพวกนี้ คงคิดไปเองมากกว่า ดิฉันจึงเดินหนี ผ่านไปทางหน้า ร.ร.อิมพี่เรียลควีนปาร์ค

พอรถหายติด ฉันนึกอย่างไรไม่ทราบอยากรอให้รถคันนี้ผ่านไปก่อน เพราะทุกทีฉัน
ไม่ชอบให้อะไรที่ไม่น่าไว้ใจตามมาข้างหลัง ในใจก้อคิดว่าเสียเวลารอให้มันผ่านไปก่อนดีกว่า ฉันจึงได้
เดินข้ามรถ ไปหยุดยืนให้รถผ่านไปก่อนที่บาร์เกิล ซึ่งในขณะนั้น ฉันมีแต่กระเป๋าสตางค์ 1 ใบ
และมีดพับอเนกประสงค์ซึ่งปกติจะไม่พกแต่ไม่รู้เป็นอะไรวันนั้นเกิดนึกอยากเอาลงไปด้วย
ส่วนมือถือนั้นไม่ได้นำติดตัวลงไป เพราะคิดว่าจะออกไปปากซอยแป๊ปเดียวก้อกลับ

ทันใดนั้น รถป้ายทะเบียน ณ 6388 สีขาว ตอนเดียว แต่มีแคปทึบสีขาว มี
สติ๊กเกอร์รูปเดียวผู้ชายอยู่ตรงประตูแคปด้านหลัง ก้อได้ผ่านหน้าฉันไป ซึ่งฉันสังเกตว่าพวกมันมองฉัน
แล้วก้อจอดรถเลยถัดๆไปหน้า โรงแรม regency ซึ่งไม่สามารถจอดรถได้นาน ฉันเห็น มีคนขับและคน
นั่งข้างคนขับเดินลงมาจากรถ แวประตูแคปด้สนหลังก้อเปิดออก พร้อมมีผู้ชาย 2 คน ออกมาจากรถ ที่น่า
ตกใจคือ

Read the rest of this entry »


พี่เลือดโชก

สิงหาคม 31, 2006

Recieved: Wednesday, August 30, 2006 8:16 PM
Subject: FW: พี่เลือดโชก

>>>>> >เพื่อนๆ … อยากเม้าท์อะไรให้ฟัง
>>>>> >ศุกร์ที่แล้วหลังเลิกงานชั้นออกไปสะแหลนแป๋นแถวสีลมกับเพื่อนคนนึง
>>>>> >หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
>>>>> >โดยแยกทางกันกลับทางใครทางมัน มันเหินฟ้าขึ้นรถไฟฟ้า
>>>>> >ส่วนชั้นก็มุดลงดินกลับรถใต้ดิน
>>>>> >
>>>>> > ตรงสถานีสีลมรถไฟฟ้า กับรถใต้ดินมันจะเชื่อมกัน
>>>>> >ประมาณ 3 ทุ่มกว่าบันไดเลื่อนขาลงก็ปิดไปแล้ว
>>>>> >ก็เลยต้องเดินลงบันไดธรรมดา
>>>>> >ระหว่างเดินลงเกือบถึงพื้นแล้ว ก็สวนกับผู้ชายคนนึง
>>>>> >ตัวดำๆ ใหญ่ๆ ท่าทางเป็นคนต่างจังหวัด แต่งตัวโทรมๆ
>>>>> >หน่อย ที่ขาของเค้าเลือดโชกเลย (เค้าใส่แค่รองเท้าแตะคีบ
>>>>> >เพราะฉะนั้นเห็นเลือดเต็มๆ)
>>>>> >เค้าเดินกะโผลกกะเผลกเดินขึ้นบันไดมา
>>>>> >ก็มีผู้ชายคนนึงแต่งตัวดี
>>>>> >ชี้บอกเค้าว่าให้เดินขึ้นลิฟท์สิ
>>>>> >แล้วก็เดินจากไปไม่ใส่ใจเค้า มีอีกหลายๆ
>>>>> >คนที่เดินตามขึ้นมา บางคนเดินสวนลงไป ที่ได้แต่มอง
>>>>> >แต่ก็เดินจากไปไม่มีใครสนใจ
>>>>> >
>>>>> > แต่ชั้นเนี่ย
>>>>> >เผอิญว่ามีคุณสมบัติสนใจเรื่องของชาวบ้านสูงมาก
>>>>> >หลังจากรีๆ
>>>>> >รอๆ ยืนมองซักพัก ชั้นก็แถเข้าไปบอกเค้าว่า “พี่
>>>>> >ขึ้นลิฟท์สิคะ” เค้า (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกเขาว่า
>>>>> >พี่เลือดโชกก็แล้วกัน) ก็บอก “ไม่เป็นไรครับๆ”
>>>>> >ระหว่างนั้นก็เหลือแค่ชั้นกับฝรั่งคู่นึง (เป็นแฟนกัน
>>>>> >อายุประมาณ 20 ปลายๆ) ยืนดูเหตุการณ์อยู่
>>>>> >แล้วชั้นก็คะยั้นคะยอพี่เลือดโชกให้ขึ้นลิฟท์ต่อไป
>>>>> >แต่เค้าก็เจียมเนื้อเจียมตนมากเลย
>>>>> >บอกแต่ว่าไม่เป็นไรครับ ผมไม่กล้าไปขึ้นของเค้าหรอก โหย
>>>>> >แล้วบันไดตรงนั้นนะสูงชันคอตั้งบ่าเลย
>>>>> >ชั้นได้แต่นึกในใจว่า
>>>>> >แล้วเมื่อไหร่พี่เค้าจะปีนขึ้นไปถึงวะ…
>>>>> >

Read the rest of this entry »


น้องออย

สิงหาคม 29, 2006

เคยได้รับ mail เกี่ยวกับเรื่องนี้นานมาแล้ว แต่ไม่ได้เก็บไว้ คราวนี้มีพี่ส่งลิงค์มาให้ทาง MSN จากเว็บ Pantip.com เลยถือโอกาสเอามาลงตรงนี้อีกทางค่ะ

Read the rest of this entry »


วัดพระบาทน้ำพุ

สิงหาคม 16, 2006

Recieved:  Tuesday, August 15, 2006 6:34 PM
Subject :  Fwd: FW: ช่วยวัดพระบาทน้ำพุกันเถอะ..หรือแค่forwardก็ได้

ทำความดีถวายในหลวงกันเถอะ     :

ขอเชิญชวนพี่น้องมาบุครองช่วยเหลือ     หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุกำลังต้องการความช่วยเหลือ

อันนี้เรื่องจริง.ขอกำลังทรัพย์กันคนละเล็กละน้อยจ้า     ตอนนี้หลวงพ่ออลงกตต้องมาเดินตระเวณขอรับบริจาคตามบ้านด้วยตัวเอง    

เพราะเราได้พบท่านเเละบริจาคไปตอนท่านเดินผ่านหน้าบ้าน     พออีก3-4วันต่อมาเราไปเห็นหลวงพ่ออลงกตไปเดินตากเเดดขอรับบริจาค     รอบจตุจักรอีก สงสารท่านมากมาก.

ถ้าไม่ทำบุแต่ช่วย      forward    mail   นี้ก็ยังดี

วัดพระบาทน้ำพุยังต้องการความช่วยเหลือ

วัดพระบาทน้ำพุ..อ่อนแรงรายจ่าย3.5ล้าน/เดือนอนิจา

โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ     หรือยูเอ็นเอดส์ (  UNAIDS)  

รายงานสถานการณ์     ผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลกไว้ว่า (พ.ศ.2546)    

ทั่วโลกมีผู้เป็นเอดส์ทั้งสิ้น     กว่า 38 ล้านคน ในจำนวนนี้     เป็นผู้ให่ประมาณ 31 ล้านคน     เด็กอายุต่ำกว่า15 ปี อีกกว่า 7 ล้านคน ในปีเดียวกันทั่วโลก     มีผู้ป่วยเอดส์ตาย ไป กว่า 3 ล้านคนวัดพระบาทน้ำพุ     จ.ลพบุรี

ปัจจุบันไม่เพียงมีชื่อในด้านให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย     เอดส์ทั้งในระดับประเทศและสากล ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมพลคนเป็นเอดส์ให่สุดของโลก    

นับแต่วัดนี้     เริ่มเปิดรับผู้ป่วยเอดส์ครั้งแรก เมื่อปี 2535     ต้องเผชิกับสารพันปัญหา     พระอุดมประชาทรหรือหลวงพ่ออลงกตเจ้าอาวาส ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนัก     กว่าที่สังคมจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย

แต่ยิ่งวัดนี้จัดระบบให้การดูแลผู้ป่วยดีเพียงไร     ดูเหมือนปัญหาเอดส์จากทั่วสารทิศ ยิ่งหลั่งไหลรุมเร้า     กลายเป็นภาระหนักอึ้งให้หลวงพ่อมากขึ้นทุกขณะ

นับจากวันแรกที่วัดพระบาทน้ำพุ     เปิดประตูต้อนรับผู้ป่วย เอดส์ หมายเลข 1     จวบจนวันนี้ เป็นเวลาครบ     12 ปีเต็ม

เฉลิมพล พลมุข์     ผู้จัดการโครงการธรรมรักษ์นิเวศน์     วัดพระบาทน้ำพุอยากใช้วาระนี้นำบางประสบการณ์ที่หวานอมขมกลืนกลับมาใคร่ครว     เขาตัดพ้อว่า จะมีใครสนใจบ้างหรือไม่     ทุกวันนี้สถานการณ์ในวัดพระบาทน้ำพุเป็นอย่างไร

ผู้ป่วยยิ่งทวีจำนวน     ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร     ข้าวของเครื่องใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้มาจากไหน

“  ทุกวันนี้หลวงพ่อต้องรับผิดชอบดูแลคนในวัด     ไม่ต่ำกว่า1  ,  000 ชีวิต  ”  ผู้จัดการหนุ่มเว้นจังหวะ

“  ทุกเดือนท่านมีภาระต้องหาเงินไม่ต่ำกว่า     3  ,  500  ,  000     บาท หรือเฉลี่ยวันละ     116  ,  000กว่าบาทมาใช้จ่ายในวัด  ”  

เขาว่า     ฟังเหมือนวัดนี้ใช้เงินมือเติบ…แต่ใครไม่รู้ ไม่เคยสัมผัสความเป็นไปใกล้ชิด     ยากจะเข้าใจ

“  แค่ค่ายา     ค่าอาหารค่าบริหารจัดการ เงินเดือนเจ้าหน้าที่และค่าเผาศพ แต่ละเดือนแทบไม่เหลือ     ช่วง 4-5 ปีมานี้ ยังมีกลุ่มคนและองค์กร     ทั้งภาครัฐและเอกชน     ดาหน้าเข้าไปขอรับเงินความอนุเคราะห์จากหลวงพ่อแทบไม่เว้น  ”  

“  มีทั้งขอเงินไปซื้อคอมพิวเตอร์     ซื้อแอร์สำนักงาน ขอให้ท่านช่วยสร้างอาคารสถานที่ให้ และขออะไรต่อมิอะไรอีกมาก     ใครก็รู้

หลวงพ่อเปี่ยมล้นด้วยเมตตาคนที่ขอได้สมหวัง     กลับไปดีใจหน้าบาน พวกไม่สมหวังก็เอาท่านไปนินทาว่าร้าย  ”  

เฉลิมพลเล่าว่า     ภารกิจอันเกิดจากรายจ่ายของวัด เฉลี่ย เดือนละ 3.5 ล้านบาท

บีบคั้นให้แต่ละวัน     หลวงพ่ออลงกตต้องออกจากวัด ตั้งแต่ตี 2     ตี 3 เพื่อไปบิณฑบาตข้าวสาร     อาหารแห้งจตุปัจจัยจากประชาชนตามที่ต่างๆ

เพื่อนำไปเลี้ยงดูผู้ป่วยเอดส์     และขับเคลื่อนให้องค์กร สามารถยืดลมหายใจอยู่รอดไปวันๆ วัดพระบาทน้ำพุ     ได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ดูแลผู้ป่วยเอดส์ ปีละ 9 สนบาท

“  ถ้านี่คือการทำธุรกิจป่านนี้วัดพระบาทน้ำพุเจ๊งไปนาน     แล้วบางวันมีเงินบริจาคเข้าวัดยังไม่ถึง 3  ,  000     บาท     แต่สิ่งที่ทำให้คนในวัดนับพันชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้คือ ข้าวสารอาหารแห้ง     จากผู้มีจิตศรัทธาที่ใส่บาตรหลวงพ่อ  ”  

เฉลิมพลบอกว่า     12 ปีที่ผ่านมา  “  หลวงพ่ออลงกต  ” ทำงานหนักมา     ตลอดทำให้หมู่นี้สุขภาพของท่านเริ่มอิดโรยเศรษฐกิจของประชาชนส่วนให่ก็อยู่ในช่วงขาลง     พลอยให้สถานการณ์ของวัดพระบาทน้ำพุต้องอยู่ในช่วงขาลงไปด้วย12 ปีที่ผ่านมา     ยอดคนป่วยมีแต่เพิ่ม โรงพยาบาลของรัฐก็รับไม่ไหว     คนเหล่านี้ไม่มีที่จะไปและไม่สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัว คนเป็นเอดส์  
  นอนกันเกลื่อนวัด เด็กเล็กๆ รอทั้งข้าวนม และของเล่น     รัฐบาลก็ขาดความจริงใจจะดูแล  ”  

“  ลำพังหลวงพ่อรูปเดียว     ต้องหาเงินมาดูแลให้คนเป็นเอดส์อยู่ฟรี กินฟรี ตายก็เผาให้ฟรี เดือนละ     3 ล้านกว่าบาท     นับเป็นเรื่องสาหัส  ”  

ผู้จัดการโครงการธรรมรักษ์ฯทิ้งท้ายว่า

“  สถานการณ์ขาลงเช่นนี้ ในอนาคต     วัดจะอยู่ดูแลคนเป็นเอดส์ ได้อีกนานแค่ไหน     ขึ้นอยู่กับประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ตัดสิน  ”  

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ในการดูแลรักษาผู้ป่วย     ทุนในการให้การศึกษา และค่าใช้จ่าย อื่นๆ     ซึ่งท่านสามารถบริจาคโดยโอนเงินผ่านธนาคาร

ดังนี้.-

ทางธนาคารโดยเข้าบัญชี  “  กองทุนอาทรประชานาถ  ” ธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี     เลขที่บัญชี 289-0-84697-1    

ธนาคารทหารไทย สาขาลพบุรี     เลขที่บัญชี304-2-41277-9    

ธนาคารกสิกรไทย     สาขาถนนสุรสงคราม เลขที่บัญชี174-2-39000-0    

ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาลพบุรี     เลขที่บัญชี 579-2-33730-7    

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาลพบุรี     เลขที่บัญชี111-1-47300-7    

ธนาคารนครหลวงไทย สาขาลพบุรี     เลขที่บัญชี340-2-14976-0    

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร     สาขานางเลิ้ง เลขที่บัญชี 000-2-12022-0    

หรือจะติดต่อโดยตรงกับ     พระอุดมประชาทร วัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี

โทรศัพท์ 0-1831-3441     หรือ 036-413805     ต่อ 106    

โทรสาร 036-422600    

หากสามารถ     ช่วย  Forward    mail ไปหาคนที่รู้จักด้วยนะครับ หรือ     ส่ง SMS ก็ได้ครับ ช่วย ๆ กันนะครับ    


นายคมกริช เรืองไพศาล

สิงหาคม 10, 2006

Recieved: Friday, August 4, 2006 7:23 PM
Subject :  Fwd: FW: Fw: ช่วยส่งต่อให้เยอะที่สุด นะ ( ด่วนมาก)

ได้ดูรายการโทรทัศน์หลายรายการ
เค้าเอาเรื่องของเด็กอายุ 16 ปีคนหนึ่ง
ชื่อนายคมกริชเรืองไพศาลซึ่งจบเพียงป. 6
แล้วต้องออกมารับจ้างทั่วไปเลี้ยงดูแม่ที่พิการน้องชายและย่า
( พ่อทิ้งไป)
เป็นพลเมืองดีช่วยจับโจรที่ชิงทรัพย์แม่ค้า
แล้วโดนยิงปอดทะลุไขสันหลังจนพิการเดินไม่ได้ตลอดชีวิต

ระหว่างที่อยู่ในห้องไอซียูแม่ที่พิการก็ตรอมใจจนเสียชีวิต
แต่ในระหว่างนั้นป้าก็ไม่ได้บอกให้คมกริชรู้เพราะอาการยังสาหัส
 แต่คมกริชมารู้หลังจากออกจากห้องไอซียูแล้ว
เพราะไม่เห็นแม่มาเยี่ยมหลายอาทิตย์

ขณะนี้ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชจ.นครราชสีมา
น่าสงสารมากๆครับ ครอบครัวยากจนป้าก็มาช่วยดูแล
แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นแสนใครได้ดูรายการจะรู้ว่า
ป้าที่มาออกรายการพูดดีมาก
ไม่ได้พูดทำนองขอเงินหรืออะไรเลย

มาเล่าความจริงให้ฟังแล้วยิ่งตอนที่เค้าไปสัมภาษณ์น้องเค้าที่รพ.

น้องเค้าเป็นคนที่มีจิตใจดีมากๆล่าสุดมีรายการคนค้นคนไปถ่ายทำ
มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งผมฟังแล้วสะเทือนใจมากคือคำพูดว่า

ผู้สัมภาษณ์: ถ้าให้เลือกระหว่างขาที่ต้องพิการตลอดชีวิตกับการสูญเสียคุณแม่ไปน้องคมกริชจะเลือกอะไร
น้องคมกริช: ผมอยากได้ชีวิตแม่กลับมาครับขาผมจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
” ผมรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครรักผมเท่าแม่ ”
แล้วก็ร้องไห้

แล้วท่านผู้มีจิตเมตตาและเป็นธรรมล่ะครับ
คิดว่าอยากให้สังคมเรามีคนดีกันมากๆ หรือไม่ น้องคมกริชเป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงน้องและย่าที่เหลือ

เรียนท่านผู้มีจิตเมตตาได้โปรดช่วยหาทางรักษาพยาบาลน้องคมกริชผู้มีจิตใจดีให้หายจากอาการขาพิการด้วยเถิด เพื่อจะได้กลับมาดูแลย่าและน้องๆ บางครั้งเงินก็ไม่ดีเท่าร่างกายปกติและมีงานดีทำครับ

ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ผู้มีจิตเมตตาเคารพศรัทธาได้โปรดปกปักรักษาคุ้มครองให้ท่านทั้งหลาย  

http://i37.photobucket.com/albums/e62/simpletern/DSCF0440.jpg

http://i37.photobucket.com/albums/e62/simpletern/DSCF0441.jpg

http://i37.photobucket.com/albums/e62/simpletern/DSCF0443.jpg


“An Inconvenient Truth”

สิงหาคม 10, 2006

Recieved: Wednesday, August 9, 2006 6:18 AM
Subject :  Invitation for “An Inconvenient Truth” Movie

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกจะไม่เป็นเรื่อง
บอกเล่ากันอีกต่อไป “An Inconvenient Truth” จะนำเสนอเหตุการณ์จริง
ของผลกระทบที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการละลายของน้ำขั้วโลก
พายุที่รุนแรงขึ้นฯลฯ ผ่านภาพยนตร์กึ่งสารคดี โดย อัล กอร์
อดีตผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นสารคดีที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้
เนื้อหาของภาพยนตร์นำเสนอเรื่องของความจริงที่โลกกำลังถูกทำร้าย
โดยมนุษยชาตินั่นเอง และนี่คือบทเรียนที่ว่าด้วยหายนะของโลก และ
สิ่งแวดล้อม ด้วยหลักฐานจริงและความจริงทั้งหมด

กรีนพีซเรียนเชิญท่านสมาชิกและแขกของท่าน
ชมภาพยนตร์ “An Inconvenient Truth” รอบพิเศษก่อนการฉายจริง
ณ โรงภาพยนตร์ลิโด้ ในวันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2549
รอบ 14.00 น.
บัตรราคา 40 บาท
โทรสำรองที่นั่งภายในวันที่ 17 สิงหาคม 2549 (จำนวนจำกัด)
ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2271-4832

ขอแสดงความนับถือ

ฝ่ายบริการสมาชิก

Dear Greenpeace Supporters:

We are feeling the effects of climate change everyday. Sweltering heat
and extreme storms are just some of the telltale signs of global warming.

One man is out to make a difference. AN INCONVENIENT TRUTH is a
film about one man’s quests to expose global warming. That man is former
United States Vice Prisident Al Gore. The movie tells people that global
warming is no small problem. Each and every person is responsible to
preserve our Earth.

We are inviting all of you to a special screening of AN INCONVENIENT
TRUTH. This will be at 2 pm, on Saturday, August 26, at the Lido Theater.
A small fee of 40 Bahts per person shall be charged at the gate.

We urge everyone to join us at this special screening. Please contact us
at 0-2271-4832 for the reservation before August 17 .

Sincerely yours,

Supporter Service Department


Hey Look at my niece!

สิงหาคม 10, 2006

Recieved :  Wednesday, August 9, 2006 5:46 AM
Subject :  Hey Look at my niece!

Hey friends! i can’t stop myself to show off my cute little niece. Her name is proud!

  


คลอโรฟอร์ม (Chloroform)

สิงหาคม 10, 2006

Recieved: Monday, August 7, 2006 6:16 AM
Subject : Fwd: FW: คลอโรฟอร์ม (Chloroform)


คลอโรฟอร์ม (
Chloroform)

ชื่อเรียกอื่น

Formyl trichloride; Freon 20; Trichloromethane.

CAS No.

67-66-3

สูตรโมเลกุล

CHCl3

น้ำหนักโมเลกุล

119.38

จุดเดือด

61-62 องศาเซลเซียส

คุณสมบัติ

เป็นของเหลวไม่มีสี ระเหยง่าย มีกลิ่นหอมหวาน

การใช้ที่ผิดกฎหมาย

ใช้เป็นตัวทำละลายในการผลิต heroin, cocaine

การใช้ที่ถูกกฎหมาย

ใช้ในการผลิต Fluorocarbon-22 เป็นตัวทำละลายน้ำมัน ไขมัน ยาง สารอัลคาลอยด์ ขี้ผึ้ง เรซิน และสารทำความสะอาด ใช้ในเครื่องดับเพลิงเพื่อลดจุดเยือกแข็ง

กฎหมายควบคุม

พระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ.2495

บทลงโทษ

ผู้ใดนำ ขนย้าย จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง ใช้หรือเปลี่ยนแปลงสภาพ ซึ่งโภคภัณฑ์นี้ โดยไม่ได้รับหนังสืออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดแห่งท้องที่นั้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


Subject:    Fw: ช่วยส่งต่อให้มากที่สุด – BE WARE!

แจ้งเหตุร้ายจากสำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยบอกต่อขณะนี้กำลังมีการระบาดของกลุ่มมิจฉาชีพทำทีมาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆแล้วสารในสเปรย์กระป๋องนั้นคือ
คลอโรฟอร์ม ที่ทำให้ท่านสลบได้เหตุการณ์เริ่มจากเด็กสาววัยรุ่นท่าทางดีมาเคาะกระจกขณะรถจอดหรือรี่เข้ามาขณะท่านกำลังจะเข้ารถบริเวณลานจอดรถ ตามที่สาธารณะทั่วไป…หากท่านไม่ระวังหรือไขกระจกรถเพื่อพูดคุยด้วยสเปรย์จะถูกฉีดเข้าในรถทันที เมื่อท่านสลบ งัวเงีย สลึมสลือไม่ได้สติ ผู้ชายอีก2-3 คนจะเข้ามาปลดทรัพย์ หรืออาจทำอันตรายร่างกายของท่านได้เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกท่าน ขอให้ระวังตัวในทุกย่างก้าว และไม่ประมาทด้วยความปราถนาดี และห่วงใยเสมอ สำนักงานสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
ช่วยกระจายต่อด้วยนะคะเพื่อความปลอดภัยของตัว ท่านเองและบุคคลที่รัก


2 Moons

กรกฎาคม 26, 2006

Recieved: Wednesday, July 26, 2006 4:10 AM
Subject: FW: FYI: 2 moons on 27 Aug 2006

FYI, don’t miss out the greatest opportunity and enjoy that moments with
your kids and family. Planet Mars will be the brightest in the night sky
starting August.

It will look as large as the full moon to the naked
eye.This will cultimate on Aug. 27 when Mars comes within 34.65M miles
of earth. Be sure to watch the sky on Aug. 27 12:30 am. It will look like
the earth has 2 moons.
The next time Mars may come this close is in 2287.

Share this with ur friends as NO ONE ALIVE TODAY will ever see it again.


ขอรับบริจาคเลือด กลุ่ม AB

กรกฎาคม 20, 2006

Recieved: Thursday, July 20, 2006 5:21 AM
Subject :  FW: Fwd: FW: กราบขอความช่วยเหลือด่วนจริงๆ ครับ คิดว่าสงสารหลานสาวผมด้วยเถิดครับ

>>>เรื่อง การขอรับบริจาคเลือด กลุ่ม AB
>>>เรียน ผู้มีจิตเมตตา
>>>
>>>รบกวนช่วยกระจายข่าวขอความช่วยเหลือนี้ด้วยนะครับ
>>>บริจาคเลือดเพียงน้อยนิดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์
>>>ขอบุญกุศลจากการบริจาคเลือดในครั้งนี้ ช่วยให้ท่านพ้น
>>>จากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเทอญ
>>>
>>>* * * กราบขอความช่วยเหลือด่วนจริงๆ ครับ
>>>คิดว่าสงสารหลานสาวผมด้วยเถิดครับ
>>>ขอรับบริจาคเลือด กลุ่ม AB เพื่อช่วยหลานสาว ชื่อ ด..ญ. นัฐวดี
>>>ตั้งไพฑูรย์สกุล ซึ่งขณะนี้ป่วยเป็นโรค
>>>ทาราสซีเมีย อยู่ที่ รพ. รามาธิบดี ชั้น 8
>>>ศูนย์วิจัยคลีนิคการปลูกถ่ายไขกระดูก ค่ะ ขณะนี้เกล็ดเลือด
>>>กลุ่มนี้กำลังขาดแคลนค่ะ
>>>ทั้งนี้สามารถบริจาคเลือดได้โดยตรงที่โรงพยาบาล หรือติดต่อ
>>>สอบถามได้ที่ คุณ
>>>ขจรศักดิ์ หมายเลขสายตรง 02-713-0520 หรือ 02-713-0161-3 ค่ะ


แอบถ่ายคนแก่

กรกฎาคม 17, 2006

Recieved: Sunday, July 16, 2006 9:04 PM
Subject : FW: Fwd: FW: ดูมันทำ แอบถ่ายแม้กระทั่งคนแก่


เลือดกรุ๊ป A

กรกฎาคม 14, 2006

Recieved: Saturday, May 6, 2006 9:34 PM
Subject: FW: ช่วยส่งต่อ ด่วนมาก ๆ

> อย่าเพิ่งลบเมล์นะช่วยกัน forward หน่อยนะ
> พี่สาวผมมีอาการ ครรภ์เป็นพิษน่อย
> หลังจากที่ตัดสินใจผ่าตัดเอาเด็กออกอย่างเร่งด่วน
> ปรากฎว่าลูกแข็งแรง แต่ไขสันหลังของแม่ไม่ผลิตเลือด
> อยากจะขอบริจากเลือดกรุ๊ป A ด่วนมากๆ
> ซึ่งคน 10 คน ที่บริจากเลือด จะสามารถผลิดเลือดได้เพียง 1 ถุงเท่านั้น
> ขอขอบคุณทุกๆคนที่สร้างโอกาสให้เด็กน้อยได้เห็นหน้าแม่
> >> >
> บริจาคได้ที่ คลังเลือด ร.พ.จุฬา เพื่อนางสาวจรรยา ตันคงจำรัสกุลร
> มีข้อสงสัยโทร ถามได้ที่ ( 01)822-8111 หรือ ( 01) 831-3990
> ช่วย forward ต่อไปให้ผู้ที่ท่านคิดว่าสามารถบริจาคได้ด้วย
> >>
> ขอบคุณมากๆ ครับ


แจกรถให้คนพิการ

กรกฎาคม 14, 2006

Subject: ช่วยกระจายข่าวแจกรถให้คนพิการด้วย

ช่วยกระจายข่าวแจกรถให้คนพิการด้วยแจกฟรี รถWheel Chairและรถสามล้อโยกสำหรับคนพิการ สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย (สพท.) ร่วมกับสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหว (ส.พ.ค.) ขอเชิญ ผู้พิการทุกท่านที่มีความประสงค์ ต้องการรถวีลแชร์และรถสามล้อโยกฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นเพียงส่งเอกสาร

1.สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมเซ็นรับรองสำเนา
2.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนา
3.สำเนาสมุดประจำตัวคนพิการ พร้อมเซ็นรับรองสำเนา
4.รูปถ่ายเต็มตัวเห็นสภาพความพิการชัดเจน1รูป
5.ให้ระบุที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก พร้อมเบอร์โทรศัพท์ (ถ้ามี) มาที่สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย73/7-8ซอยติวานนท์8ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัม อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี11000โทรศัพท์0-2951-0445,0-2584-3993 , 0-2951-0447โทรสาร0-2951-0567หรือที่สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหว802/410หมู่12หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี12130มือถือ0-1735-2316, 0-1372-4201โทรสาร0-2990-0331

หมายเหตุ รถวีลแชร์และรถสามล้อโยกมีเพียงพอสำหรับทุกท่านที่ติดต่อเข้ามา
สาธุ๊! ได้บุญกันทุกคนนะ…..


โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ

กรกฎาคม 14, 2006

Recieved: Thursday, June 22, 2006 2:54 AM
Subject: Fw: เรื่องดีๆ และบอกบุญต่อ

>>>สอนไม่ได้ ช่วย Fwd ก็ยังดี
>>>
>>>
>>>They really need your help.
>>>
>>>****** วันจันทร์ถึงศุกร์ ประมาณ 15.30 – 18.00 น.
>>>ใครพอมีเวลา(กี่ชั่วโมงก็ได้) และอยากใช้เวลา
>>>ให้เป็นประโยชน์บ้างคะ มีน้องๆ นักเรียนตาบอดระดับ ม.1 – ม.6
>>>รอให้พี่ๆไปสอนการบ้านให้ น้องๆน่ารัก
>>>ทุกคนค่ะ **
>>>
>>>สอนที่ๆ “โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ”
>>>อยู่ตรงสี่แยกราชวิถีใกล้รพ.รามา+บ้านเด็กอ่อนพญาไท+บ้านราชวิถี
>>>รถเมล์สายที่ผ่านด้านหน้า สาย 8, 12, 14,
>>>
>>>เด็กอ่อนพญาไท+บ้านราชวิถี 18, 28, 92, 97,108 ฯลฯ ปอ.9, 10, 515,
>>>522 เด็กอ่อนพญาไท+ถ้ามารถไฟฟ้าจะสะดวกมากลงสถานีอนุสาวรีย์ชัยฯ
>>>แล้วต่อรถหน้ารพ.ราชวิถี ได้เลย

>>>หมายเหตุ: ฝากบอกต่อและฟอร์เวิร์ดต่อด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ


น้องใหม่

กรกฎาคม 14, 2006

Recieved: Thursday, July 6, 2006 11:22 PM
Subject: Fw: อ่านแล้วจะไม่ลังเลที่จะส่งต่อเลย

“น้องใหม่” คือลูกสาวของผมครับ แต่แกโชคร้าย แกมีโรคประจำตัวคือ “ โรคลมชัก” ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักหรือเคยพบคนเป็นโรคนี้หรือเปล่าครับ เมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักโรค นี้ เคยได้ยินแต่ “ ลมบ้าหมู ” หรืออาการชักของเด็กที่มีไข้สูงเท่านั้น แต่มันยังมีอีกหลาย ลักษณะของการชัก ซึ่งผมก็ได้มาพบอาการเหล่านี้ที่ลูกของผมทั้งหมด

น้องใหม่เริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่ อายุ 6 เดือน ตอนนั้นยังไม่มีใครสังเกตาร จะมีแต่อาการผงกหัวตอนคลาน ที่แรกนึกว่าคอแกคงยัง ไม่แข็งก็เลยไม่เอะใจ จนอายุได้ 1 ปี แกเริ่มมีอาการกระตุกทั้งตัว แต่เป็นช่วงเวลา 5-10 วินาที แต่แกเป็นบ่อยถึงวันละ 30-40 ครั้งจึงได้นำมารักษาที่โรงพยาบาลเด็ก จึงรู้ว่าแกเป็นโรคลมชัก เพราะได้ทำการตรวจคลื่นสมองพบว่า เส้นสมองแกยุ่งเหยิงมากไม่เป็นจังหวะเหมือนคนปกติ จึงได้ทำการรักษาที่โรงพยาบาลเด็ก โดยการปรับยาทุกเดือน จนอาการลดลงเหลือการผงกวันละ 10 กว่าครั้ง ซึ่งค่าใช่จ่ายในการรักษาและการซื้อยา ในแต่ละเดือนร่วม 5,000-6,000 กว่าบาทต่อ เดือน ซึ่งค่อนข้างสูงทำให้ภายในครอบครัวเริ่มขัดสนทางด้านการเงิน

ต่อมาได้ย้ายมารักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะได้รับการแนะนำให้มารักษาที่คลีนิคพิเศษที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะมีแพทย์ เฉพาะทางรักษาอยู่จนถึงปัจจุบันอาการผงกหรือชักก็ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะอาการของน้องใหม่ อยู่ในลักษณะอาการที่ยาไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ปัจจุบันรักษามาแล้วถึง 5 ปีกว่าแล้ว คุณหมอจึงได้แนะนำให้ใช้วิธีผ่าตัดสมอง ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผล 100 % เพราะถ้าเกิดโชคร้ายขึ้นมา อาการแย่ลงกว่าเดิม ผมและครอบครัวคงทำใจไม่ได้ แต่เมื่อได้ดูรายการการผ่าตัดสมองและโรคลมชัก ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 21 และ 28 กันยายน เวลา 21.00 น . โดยมีการอธิบายและแสดงเทคนิคในการใช้อุปกรณ์ในการแพทย์ ทำให้ครอบครัวผมมีกำลังใจขึ้นมากเห็นหนทางในทางรักษามากขึ้น จึงได้ปรึกษาคุณหมอที่รักษาน้องใหม่อยู่ ซึ่งก็เป็นคณะแพทย์ที่ได้ออกรายการในวันนั้น จึงเห็นสมควรให้ผ่าตัดสมองน้องใหม่ วันที่ 4 ธันวาคม ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สาเหตุที่ไม่สามารถผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะปัจจุบันไม่มีแพทย์ที่ชำนาญทางด้านนี้ประจำอยู่ และคุณหมอท่านนี้ก็ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ อยู่ ซึ่งการผ่าตัดในการรักษาครั้งนี้จะต้องใช้ค่ารักษาค่อนข้างสูง ประมาณ 40,000-50,000 บาท เพราะฉะนั้นผมยังมีเวลาอีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น ในการหาเงินมารักษาลูก

สภาพน้องใหม่ปัจจุบันนี้ ภายนอกก็ดูเหมือนเด็กทั่วไป แต่อาจจะเห็นบาดแผลตามร่างกายโดยเฉพาะที่หัวและใบหน้า บริเวณคางอน จะมีบาดแผลเย็บ บวม ช้ำ โน อยู่ตลอดเวลา เมื่อล่าสุดเย็บที่คาง 5 เข็ม ที่มุมปากฉีกเย็บอีก 2 เข็ม และที่หัวอีกนับครั้งไม่ถ้วน แถมฟันหน้าหักไปแล้ว 3 ซี่ สาเหตุเกิดจากการล้ม และชักของแก บางครั้งยืนอยู่ดีๆ หัวทิ่มพื้นไปแล้วครับ จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ แม้ว่าคนในครอบครัวจะระมัดระวังทุกฝีก้าวไม่ให้คลาดสายตา แม้เพียงแค่หันหลังแล้วหันกลับมาอีกที อาจจะเห็นแกนอนชักอยู่ก็ได้ทุกเมื่อ ทุกวันนี้สภาพจิตใจของคนในครอบครัวแย่มาก เพราะต้องทำทุกวิถีทางให้แกเจ็บตัวให้น้อยที่สุดและเบาที่สุด

คุณยายที่เลี้ยงน้องใหม่ก็ทำหมวกผ้าหุ้มฟองน้ำใส่ที่หัวน้องใหม่ตลอดเวลา เผื่อเวลาหน้ากระแทกจะได้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ทุกวันนี้น้องใหม่ยังไม่พูด อายุจะครบ 6 ขวบแล้ววันที่ 12 ธันวาคมนี้ พัฒนาการแกเหมือนเด็กอายุไม่ถึงขวบ ยังเล่นอะไรไม่เป็นเรื่องเป็นราวการเดินจะเดินแบบเซเซ ทรงตัวไม่ค่อยได้เดินแบบวิ่งแล้วก็ล้มลง อยู่เฉยๆ ไม่เป็นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา ทำให้คนเลี้ยงค่อนข้างเหนื่อยมาก แม้แต่ผมเองยอมรับว่า อยู่เลี้ยงแค่ 2-3 ชั่วโมง ก็ยังเหนื่อย ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยต้องคอยระวังตลอดเวลา

ผมและครอบครัวหวังว่าการผ่าตัดในครั้งจะประสบความสำเร็จ ให้แกมีอาการดีขึ้น ผมและครอบครัวหวังเพียงแค่ให้แกอาการชักลดลง ให้พัฒนาการแกดีขึ้น รู้จักช่วยเหลือตัวเองได้ พูดได้ว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร สื่อสารเข้าใจ ไม่หวังว่าแกจะเป็นเด็กฉลาดเหมือนเด็กทั่วไป สิ่งที่ผมอยากได้ยินตอนนี้ คือให้น้องใหม่เรียกพ่อ เรียกแม่ได้ เพราะเป็นคำที่คนเป็นพ่ออย่างผม อยากได้ยินมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว และผมก็มีลูกอยู่เพียงคนเดียวคือน้องใหม่เท่านั้น ผมหวังว่าการผ่าตัดในครั้งนี้จะเป็นของขวัญวันเกิดของลูกสาวผมได้หรือไม่ …. ผม ขอวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ช่วยลกสาวผมอีกแรงครับ ……..

สิ่งที่ผมกล่าวมานี้เพียงจะขอความเมตตาจากทุกท่าน ช่วยเหลือในการหางานหรือแนะนำงานให้ผมเป็นรายได้พิเศษภายในช่วง 2 เดือนนี้ ( ด่วนมาก ) ผมมีความสามารถในการเขียนแบบ AutoCAD เครื่องจักรต่างๆ และออกแบบ Artwork , Logo , สิ่งบรรจุ , ฉลากสติกเกอร์ , โบว์ชัวร์ ต่างๆ ซึ่งเงินที่ได้เหล่านี้ก็จะไปสมทบทุนเป็นค่ารักษาลูกของผมทั้งหมด โดยติดต่อที่ เอกพล สหัสสเนตร ( 01) 944-3278 E-mail comart2003@hotmail.com

การช่วยเหลือผมและครอบครัวในครั้งนี้ เหมือนเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้เด็กน้อยคนหนึ่ง ให้มีโอกาสอยู่รอดในโลกใบนี้ต่อไปอย่างมีปกติสุข
ผมและครอบครัวขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวมีความสุข ความเจริญในทุกๆ ด้านตลอดไปครับ ขอขอบพระคุณอย่างสูง

หมายเหตุ : อยากให้ผู้ที่ได้รับ mail นี้ช่วย forward ต่อให้เพื่อนๆ หรือคนรู้จักด้วยครับ


ด.ช. แทนไท / น.ส. ชนะภัย

กรกฎาคม 14, 2006

Recieved: Monday, July 10, 2006 1:03 AM
Subject: Fw: ขอเลือด Group O : ไม่บริจาคช่วย forward

เนื่องจาก ด.ช. แทนไท เปริตา อายุ 7 ปี
ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวทำให้ต้องใช้เลือดกรุ๊ป O positive
จึงขอรบกวนท่านที่มีเลือดกรุ๊ปดังกล่าวสละเวลาไปบริจาคเลือดกรุ๊ป O positive
ที่ ร.พ. ศิริราชตึก 72 ปี ชั้น 3

น.ส.ชนะภัย ศิริมาตยนันท์ หรือ น้องกิ๊ง นักศึกษาชั้นปีที่สาม
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กำลังป่วยเป็นโรคลูคิเมีย
มีความจำเป็นต้องขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ปใดก็ได้
โดยขอให้เกล็ดเลือดเป็นกรุ๊ปเอ ซึ่งควรเป็นเลือดจากผู้ชาย
เนื่องจากแพทย์เห็นว่าเกล็ดเลือดจากผู้หญิงอ่อนแอไม่อาจรักษาผู้ป่วยได้
ผู้ใดมีความประสงค์จะบริจาคเลือดให้กับ น.ส. ชนะภัย กรุณาติดต่อ น.ส.ชนะภัย 01- 8746623
และสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากชมรมโรตาแรคซ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยติดต่อแอ็ค 01 – 619294
ขอให้ผู้ที่ได้รับอีเมล์ฉบับนี้โปรดส่งต่อให้แก่คนรู้จักต่อๆไปด้วย


น้องเกศรินทร์

กรกฎาคม 14, 2006

Recieved:  Thursday, July 13, 2006 5:15 AM

Subject : FW: Fwd: FW: ส่งต่อ เป็นการทำบุญ 1 ชีวิต

เรียน ผู้ใจบุญทุกท่าน โปรดช่วยลูกสาวผมด้วยเถิดครับ
ส่งต่อเป็นการทำบุญ 1 ชีวิต นันทิยาได้โทรไปสอบถามคุณพ่อของน้องเกศรินทร์เพราะเห็น e-mail นี้เยอะมาก
เลยคิดว่าน่าจะหาผู้บริจาคได้แล้วจะได้ไม่ forward ต่อ
แต่ปรากฏว่าคุณพ่อของน้องเค้าบอกว่ายังไม่มีผู้บริจาคคนไหนมี HLA ตรงกับน้องเค้าเลย ยังหาอยู่เลย
ช่วยกระจายต่อค่ะ….ช่วยส่งต่อด้วยนะคะ แต่ถ้าสามารถไปบริจาคได้ ก็เชิญนะคะ
ถือเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่เพราะเลือดเพียงน้อยนิดของเราสามารถช่วยชีวิตอีกหนึ่งชีวิตได้ค่ะ

ผู้ที่อ่านข้อความนี้ท่านใดมีจิตกุศลเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่วัยของเธอแค่ 17 ปี
กำลังเผชิญกับโรคร้าย Leukemia มะเร็งในเม็ดเลือดขาว
คือ น.ส. เกศรินทร์ สุวรรณโน
ต้องขาดเรียนเป็นเวลานานเพราะต้องรักษาตัวอยู่ขณะนี้ที่ รพ.จุฬา โดยฉีดเคมีบำบัดหรืออาจตลอดชีวิต
และเธอกำลังรอรับการบริจาคโลหิตเพื่อปลูกถ่ายไขกระดูก ตัวเธอเลือดกรุ๊ป B
ซึ่งผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้ต้องผ่านการบริจาคเลือดแล้วถึง 2 ครั้งที่สภากาชาดไทย
ผู้บริจาคต้องมีร่างกายสมบูรณแข็งแรงไม่มีโรคติดเชื้อร้ายแรงลักษณะเนื้อเยื่อ HLA
ตรงกับผู้ป่วยถึงจะรับการบริจาคได้ซึ่งยากมากที่จะหาผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อตรงกันจึงต้อง

อาศัยความร่วมมือร่วมใจจากผู้มีน้ำใจละจิตเมตตาจะบอกกล่าวต่อๆ กันก็ได้
นั่นหมายถึงผู้ป่วยรายนี้กำลังรอชีวิตใหม่จากพวกคุณอยู่สามารถบริจาคโลหิตได้ที่สภากาชาดไทย
0-2714-9124 กด 1 (ด.ต.สมพร สุวรรณโน บิดา)
เธอกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ชั้น ม.4 ได้รับแล้ว
ส่งต่อกับไปเยอะๆ นะ